เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับบททดสอบของ “รัฐบาลทหารพม่า” ที่ทำการรัฐประหารไป เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จนสามารถรวบอำนาจทั้งหมด คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เอาไว้ที่ “พลเอก มิน อ่อง หล่าย” ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่าเอาไว้ได้สำเร็จ ก่อนผ่องถ่ายอำนาจผ่าน“สภาบริหารแห่งรัฐ” (StateAdministration Council-SAC) ซึ่งมีเจ้าตัวเองเป็นประธาน พร้อมคณะทหารและคนที่ไว้ใจ ทำหน้าที่กำหนดทิศทางทั้งหมดของประเทศในด้านต่างๆ
และเมื่อวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในช่วงค่ำๆ สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศพม่า ได้ถ่ายทอดสดการประกาศเหตุผลและความจำเป็นในการทำรัฐประหารของกองทัพพม่า และย้ำถึงคำมั่นสัญญาที่ว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
“กองทัพเมียนมามีความชอบธรรมในการยึดอำนาจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทุจริตเลือกตั้ง เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว แต่ทางนางซู จี ประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง กลับออกมาตอบโต้ว่า ไม่มีการโกงเลือกตั้ง แถมยังใช้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาเป็นข้ออ้าง จนนำไปสู่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็นธรรม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปคณะกรรมการการเลือกตั้งเหล่านี้ด้วย.... รัฐบาลทหารจะสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีระเบียบวินัย ที่แตกต่างจากยุครัฐบาลทหารในอดีต และจะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก่อนที่จะส่งมอบการบริหารประเทศให้แก่ผู้ชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น”
นี่เป็นการสื่อสารโดยตรงกับประชาชนพม่า และโลกใบนี้ครั้งแรกของมิน อ่อง หล่าย หลังพาพม่าย้อนกลับไปสู่ความไม่เป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง (แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของพม่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบก็ตาม) และปลุกให้มวลชนคนในประเทศพม่าเริ่มยกระดับจากการแสดงสัญลักษณ์ อาทิ ตีข้าวของเครื่องใช้ให้เกิดเสียง บีบแตร ติดโบแดง ใส่เสื้อแดงชูสามนิ้ว โพสต์ข้อความแสดงออกทางสื่อสังคมออนไลน์ จนมาถึงการตัดสินใจลงถนนเดินขบวนประท้วงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 กุมภาพันธ์)ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ทั้งมัณฑะเลย์ย่างกุ้ง รวมไปถึงเมืองหลวงอย่างเนปิดอว์และลุกลามไปยัง 60 เมืองทั่วประเทศตามที่ปรากฏภาพออกมาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ไปสู่สายตาประชาคมโลก
จึงไม่แปลกใจเลยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้นำรัฐประหารถึงต้องออกมาแสดงความเข้าใจต่อประชาชนคนพม่าผ่านจอโทรทัศน์เกี่ยวกับเหตุผลของการกระทำรัฐประหารพร้อมออกคำสั่งเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ 2 ทุ่ม ไปจนถึงตี 4 ตามเวลาในพม่า และจะบังคับใช้มาตรการจำกัดการชุมนุมเกิน 5 คน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือไปยังบริษัทสื่อสารให้หยุดการส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนตทั่วประเทศคงไว้แค่เพียงการส่งข้อความเท่านั้น
แต่แล้วการออกโทรทัศน์ของมิน อ่อง หล่าย ก็ไร้ผล เมื่อทุกความเคลื่อนไหวที่เขาห้าม ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และร้อนแรงขึ้นในทุกขณะประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศพม่ายังคงเหนียวแน่นต่อการทวงคืน“นางออง ซาน ซู จี” คืนมาจากการควบคุมตัวของทหาร และอยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยอีกครั้ง หลังจาก 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ได้พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้วว่า พม่าที่เป็นประชาธิปไตยมีความงดงามได้แค่ไหน
ราคาที่ต้องจ่ายของมิน อ่อง หล่าย และพรรคพวก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อกล่องดวงใจของเหล่าทหารผู้ใหญ่ในพม่ากำลังถูกกัดเซาะไปทีละน้อยเริ่มจากบริษัทเบียร์เจ้าใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ตัดสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทเบียร์ยักใหญ่ของพม่าทันที เช่นเดียวกับบริษัทยาสูบของประเทศสิงคโปร์ก็หยุดทำการค้ากับบริษัทยาสูบของพม่า และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเองก็ถอยตัวออกมาจากการร่วมทุนกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในประเทศพม่า หลังจากนี้ก็คาดว่าจะมีการหยุดความสัมพันธ์ทางธุรกิจของหลายประเทศทั่วโลกต่อบริษัทเอกชนในพม่า โดยเฉพาะที่เป็นบริษัทเอกชนซึ่งลงทุนโดยกองทัพพม่าเอง อย่างเบียร์ บุหรี่ และที่อยู่อาศัย เป็นต้น รวมไปถึงประชาชนคนนั่นก็ประกาศแบนสินค้าที่มาจากธุรกิจที่กองทัพให้การสนับสนุนหรือเป็นเจ้าของเองเช่นกัน
กระนั้นก็ยังไม่หมดเท่านี้ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา (11 กุมภาพันธ์) มีคำสั่งออกมาจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา “นายโจ ไบเดน” ถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับผู้นำทหารพม่า และครอบครัวทั้งหมดของเขา รวมไปถึงครอบครัวของกลุ่มทหารที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารครั้งนี้ ส่วนธุรกิจของกองทัพพม่าก็อยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะได้รับการห้ามให้การสนับสนุนหรือยุ่งเกี่ยว ซึ่งรายชื่อบุคคลและธุรกิจต้องห้ามเหล่านี้ ไม่น่าเกินอาทิตย์หน้าคงได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ และที่น่าปวดใจมากที่สุดสำหรับกลุ่มทหารก็คือ ทางการสหรัฐฯ ได้ทำการปิดกั้นการเข้าถึงกองทุนมูลค่าพันล้านเหรียญดอลลาร์ที่อยู่ในสหรัฐฯ ของประเทศพม่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เราจะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างรุนแรง เราจะอายัดทรัพย์สินในสหรัฐฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลพม่า ในขณะที่เราจะรักษาการสนับสนุนด้านสาธารณสุข กลุ่มสังคมสงเคราะห์ และด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวพม่าเอาไว้” นี่เป็นแอ๊กชั่นล่าสุดของผู้นำสหรัฐฯ ในขณะที่มีข่าววงในว่า หน่วยงานต่างประเทศของอเมริกากำลังเจรจากับทางการจีนและรัสเซียเกี่ยวกับการถอนการให้ความสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว “นางออง ซาน ซู จี” ผู้นำพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของพม่าออกมาในเบื้องต้น
ตามมาด้วยการตัดความสัมพันธ์ทางการเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อรัฐมนตรีหญิงมากความสามารถ “จาซินดา อาร์เดิร์น” ยืนยันที่จะไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลทหารของพม่าในทุกกรณี
“สิ่งที่เราอยากจะบอก ก็คือ นิวซีแลนด์จะทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ และหนึ่งในนั้นก็คือ การระงับการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพม่า และตรวจสอบจนมั่นใจว่า เงินทุนที่เราให้แก่พม่าจะต้องไม่ถูกนำไปใช้สนับสนุนรัฐบาลทหารในทุกๆ กรณี”
ทั้งหมดเป็น “ราคา” ที่รัฐบาลทหารพม่าต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการโต้กลับของประชาชนทั่วประเทศ และทั่วโลก เพื่อกดดันให้ปล่อยตัวทุกคนที่กองทัพจับกุม และคืนอำนาจการบริหารที่ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกคนในประเทศ ซึ่งหวังว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นตัวอย่างที่สำคัญสำหรับบุคคลหรือกลุ่มคนใดก็ตามที่คิดจะเข้าถึงอำนาจด้วยวิธีการอันไม่เป็นที่ยอมรับ และขาดความเป็นประชาธิปไตย ว่า “ราคาที่ต้องจ่าย” มีมูลค่าเท่าใด และสร้างความเสียหายต่อประเทศขนาดไหนเพราะอย่าลืมว่า มันเป็นการร่วมจ่ายของประชาชนคนทั้งประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี