ย้อนหลังไปในปี 2020 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันโลกดิ่งลงมาอย่างน่าตกใจ เนื่องด้วยกลุ่มประเทศที่ทำการผลิตน้ำมันได้สต๊อกปริมาณน้ำมันไว้จำนวนมหาศาล แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ปริมาณความต้องการน้ำมันของโลกดิ่งลง เพราะมาตรการหยุดการเคลื่อนที่ทั้งทางสังคม และเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อมีปริมาณน้ำมันมากกว่าความต้องการใช้เกิดขึ้น โลกจึงมีสต๊อกน้ำมันเหลือทิ้งไว้อย่างมหาศาล ส่งผลให้ราคาน้ำมันในช่วงเดือนมีนาคมของปี 2020 เหลือเพียง 45.27 ดอลลาร์/บาร์เรล จาก 67.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 32.48% สำหรับราคาที่ร่วงลงมา และราคาดังกล่าวนี้ยังคงขยับลงอย่างต่อเนื่อง(ราคาน้ำมันดิบเบรนท์)
ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ทำให้กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งเกิดขึ้นมาในปี 2016 จากการที่กลุ่มโอเปกเดิม หรือ Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ที่มี “ซาอุดีอาระเบีย” เป็นพี่ใหญ่ และประเทศสมาชิกรวม 14 ประเทศ และกลุ่มที่ไม่ใช่โอเปก ซึ่งนำโดย “รัสเซีย” มหาอำนาจทางพลังงานที่มีแหล่งสำรองน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และถ่านหินมหาศาล จับมือกันคานอำนาจการกดราคาน้ำมันของ“สหรัฐอเมริกา” ที่ปล่อยน้ำมันออกขายในปริมาณที่มากจนทำให้ราคาน้ำมันถูกลง เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่สูงจากการขุดเจาะน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) นวัตกรรมใหม่ที่สหรัฐฯ คิดค้นขึ้นมา
ด้วยการก้าวข้ามความไม่ลงรอยทางการเมืองเพื่อบริหารจัดการราคาน้ำมันให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และธุรกิจ กลุ่มโอเปกพลัสจึงประสานความร่วมมือต่อกันนับแต่นั้นมา นี่เองที่ทำให้ส่วนแบ่งของตลาดน้ำมันที่แบ่งเป็น 3 ก๊ก คือ กลุ่มโอเปก กลุ่มรัสเซีย และกลุ่มสหรัฐฯ เหลือเพียง 2 ฝั่งเท่านั้น จนมาเกิดปัญหาราคาน้ำมันดิ่งลงเหวในช่วงโควิด-19
โอเปกพลัสมองว่า ถ้าปล่อยให้ราคาดิ่งลงไปเรื่อยๆ ความเสียหายก็จะทวีคูณมหาศาล จึงจัดการประชุมหารือกันเพื่อลดการผลิตน้ำมันลงในกลุ่มประเทศภาคีเครือข่าย แต่ครั้งนั้นเหมือนว่ารัสเซียจะไม่เอาด้วย เพราะรัสเซียมองว่า ด้วยราคาน้ำมันที่ต่ำลงนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันกับการขุดเจาะน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดานของสหรัฐฯ ที่มีกำลังการผลิตได้สูงที่สุดในกลุ่มสัดส่วนประเทศขาใหญ่น้ำมันโลก เพราะค่าใช้จ่ายในการขับเคลื่อนวัตกรรมดังกล่าวนี้จะคุ้มทุนได้ราคาน้ำมันต้องไม่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรล และถ้าราคาตกไปต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล นั่นหมายถึงจุดจบของอุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐฯ และธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดานก็จะประสบกับภาวะล้มละลายในที่สุด
แต่ในตอนนั้น ซาอุดีอาระเบีย และบรรดาประเทศสมาชิกโอเปก ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขามองว่า ถ้าไม่ลดการผลิตน้ำมันลง และปล่อยให้ราคาตกต่ำมากไปกว่านี้ อุตสาหกรรมน้ำมันของพวกเขาและของโลก ก็จะล้มละลายตายลงไปด้วย จึงไม่พอใจที่รัสเซียมองวิกฤตดังกล่าวเป็นโอกาสทางการเมืองในการทำลายสหรัฐฯ ซาอุดีอาระเบียที่มีกำลังในการผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลกจึงกดดันรัสเซียด้วยการประกาศลดราคาน้ำมันดิบของตัวเองลง 6-8 ดอลลาร์/บาร์เรล เพื่อให้โรงกลั่นทั่วโลกหันมาซื้อน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียที่เดียว จนทำให้ประเทศต่างๆ ต้องลดราคาน้ำมันตามไปด้วย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยิ่งดิ่งลงไปอีก แต่กระนั้น ด้วยความที่ซาอุดีอาระเบียมีต้นทุนในการผลิตน้ำมันต่ำมากๆ และมีกำลังในการผลิตที่สูง ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้จึงตกอยู่ที่ซาอุดีอาระเบียอย่างเต็มตัว จนท้ายที่สุด สหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี (ในตอนนั้น) “โดนัลด์ ทรัมป์” จึงเปิดการเจรจา 3 ฝ่าย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันต่อกัน ด้วยข้อตกลงลดการผลิตน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสม เพราะผลกระทบจากเกมการเมืองเรื่องน้ำมันนั้นแน่นอนว่า นอกจากจะทำลายประเทศขนาดเล็กที่อาศัยการส่งออกน้ำมันเป็นหลักแล้ว ยังทุบอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งระบบให้เละไม่มีชิ้นดี ทั้งในแง่การลงทุน การพัฒนา รวมไปถึงปัญหาความขาดแคลนเชื้อเพลิงที่อาจตามมาในอนาคต
บรรยากาศของราคาน้ำมันโลกกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ก็เข้าสู่ช่วงปลายปี 2020 แม้จะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายแล้วก็ตาม เพราะปริมาณสต๊อกของน้ำมันในแต่ละประเทศที่เก็บไว้มากมายมหาศาลยิ่งนัก และความต้องการของโลกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปตามสถานการณ์โควิด-19 จนมาถึงปลายปี 2021 ทุกอย่างเริ่มค่อยๆ กลับมาสู่ความเป็นปกติ มาตรการทางสาธารณสุขของทั่วโลกเริ่มผ่อนคลาย เศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อนการเดินทางของผู้คนเริ่มกลับมา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในหลายประเทศ แน่นอนว่า ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจึงพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด และนั่นทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกดีดตัวสูงขึ้นกว่าปกติ (Super cycle) โดยปัจจุบัน (25 พ.ย.) อยู่ที่ 82.61 ดอลลาร์/บาร์เรล (ราคาน้ำมันดิบเบรนท์) ซึ่งราคาที่แพงขึ้นนี้เองที่ทำให้กลุ่มประเทศขาใหญ่น้ำมันต้องทำการปรึกษาหารือกันอีกครั้ง เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน ในการแบกรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตที่จะสูงขึ้นตามมา
ล่าสุด ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โจ ไบเดน” ได้เรียกร้องไปยังกลุ่มประเทศในกลุ่มโอเปกพลัส ให้เพิ่มอัตราการผลิตน้ำมันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาราคาน้ำมันให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม โดยที่ก่อนหน้านี้ไบเดนก็เคยแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นราคาน้ำมันแพงกับการแก้ปัญหาของกลุ่มโอเปกพลัสมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับที่ชัดเจนจากกลุ่มดังกล่าว
นอกจากนั้น ไบเดนยังประกาศเตรียมปล่อยน้ำมันสำรองออกสู่ตลาดกว่า 50 บาร์เรล ร่วมด้วยพันธมิตรที่เป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ 5 ชาติ คือ อินเดีย 5 ล้านบาร์เรล อังกฤษ 1.5 ล้านบาร์เรล และญี่ปุ่น 4.2 ล้านบาร์เรล ส่วนจีน และเกาหลีใต้ ยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัด และตัวเลขปริมาณน้ำมันที่จะนำออกมาสู่ตลาด
และนี่เองที่ทำให้เกิด “เกมการเมืองเรื่องน้ำมัน” ขึ้นมาอีกครั้งในกลุ่มประเทศมหาอำนาจด้านน้ำมันของโลก เมื่อคณะทำงานของโอเปกได้ออกมาแสดงความกังวลต่อท่าทีของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ทั้ง 5 ที่จะปล่อยน้ำมันออกสู่ตลาดในปริมาณตามที่ได้ประกาศเอาไว้ เพราะนั่นจะทำให้ปริมาณน้ำมันกลับไปมีมากกว่าความต้องการนำไปใช้อีกครั้ง ส่วนเจ้าหน้าที่ของโอเปกบางคนก็ส่งสัญญาณในการลดการผลิตน้ำมันลงเพิ่มตอบโต้การกระทำของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร
ถึงตรงนี้ก็ยังไม่รู้ว่า สถานการณ์ในเรื่องนี้จะไปจบลงที่ตรงไหน ที่สำคัญ ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ยังคงสงวนท่าที มีเพียงการเคลื่อนไหวในนามของโอเปก และโอเปกพลัสเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า การขยับของสหรัฐฯ และพันธมิตร ไม่น่าจะกดราคาน้ำมันให้ลดลงมาได้ เพราะความต้องการยังคงมหาศาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยด้านฤดูกาล และนวัตกรรมไฟฟ้า รวมไปถึงการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอน อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ราคาน้ำมันกลับไปดิ่งเหวอีกครั้ง และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง ที่คาดว่าน่าจะทำให้กลุ่มโอเปกพลัสถึงกัดฟันยืนกรานไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันตามที่สหรัฐฯ ต้องการ จนต้องคัดง้างกันตามที่กำลังเป็นอยู่นี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี