สุนัขอ้วนมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเขา และทำให้เราต้องเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนไม่น้อย หากเขามีโรคประจำตัวอื่น ๆ ตามมา เพราะฉะนั้น อย่าเลี้ยงสุนัขจนเขาอ้วนมากเกินไป แต่อันที่จริงต้องบอกว่าต้องเลี้ยงให้เขามีน้ำหนักพอดีกับตัวของเขา
ขอย้ำอีกครั้งว่าสุนัขจำนวนมากมีปัญหาโรคอ้วน เพราะเจ้าของเลี้ยงดูดีมากไป แล้วไม่ควบคุมอาหาร ไม่พาไปออกกำลังกาย แต่ก็มีสุนัขจรจัดบางตัวที่อ้วนมากจนเกินไปด้วย
สุนัขอ้วนมาก ๆ มักมีปัญหาเรื่องโรคข้อเสื่อม เบาหวาน และพบความผิดปกติของระบบหายใจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมักมีอายุขัยสั้น ดังนั้นขอเรียนย้ำว่าต้องควบคุมน้ำหนักให้ได้ โดยอาศัยแนวทางตามระบบและตามหลักวิชาการ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสุนัขอ้วนมากไปหรือไม่ โดยดูการประเมินสุขภาพเบื้องต้น เช่น วัด Body Condition Score (BCS) ตัวนี้เป็นเครื่องมือมาตรฐานในการวัดระดับความอ้วนของสุนัข โดยใช้ระบบคะแนน 1–9 ซึ่ง คะแนนที่เหมาะสมคือ BCS 4–5 จาก 9 แต่หากสุนัขมีคะแนนตั้งแต่ 6 ขึ้นไป แสดงว่ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน แล้วถ้าหากมีมากกว่า 7 ถือว่าอยู่ในระดับอ้วนมาก
ทั้งนี้สัตวแพทย์จะประเมินน้ำหนักเป้าหมาย โดยคำนวณ Ideal Body Weight (IBW) ซึ่งโดยทั่วไปจะต่ำกว่าน้ำหนักปัจจุบันของสุนัขประมาณ 15–25 % แล้วจึงนำไปใช้คำนวณพลังงานที่ต้องให้กับสัตว์ในช่วงการลดน้ำหนัก
ประเด็นต่อมาคือควบคุมอาหาร (Nutritional Management) เรื่องนี้สำคัญมากในกระบวนการควบคุมน้ำหนักสุนัข เมื่อควบคุมอาหารแล้ว ก็ต้องดูเรื่องจำกัดพลังงาน (Caloric Restriction) เพื่อลดปริมาณพลังงานที่สุนัขได้รับต่อวัน นับเป็นหัวใจหลักของการลดน้ำหนัก แต่ขอย้ำว่าการลดน้ำหนักและจำกัดพลังงานต้องปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะหากทำผิดหลักก็จะเป็นอันตรายต่อสุนัข ตามปกตินั้นสัตวแพทย์จะแนะนำให้ใช้สูตรอาหารเฉพาะเพื่อการลดน้ำหนัก (Veterinary Therapeutic Weight Loss Diet) ซึ่งมีลักษณะดังนี้ คือให้พลังงานต่ำ แต่มีโปรตีนสูง เพื่อช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และอาหารต้องมีไฟเบอร์สูงเพื่อช่วยเพิ่มความอิ่ม และต้องดูเรื่องการควบคุมไขมัน โดยควบคุมขนมและอาหารนอกมื้อ ขอย้ำว่าต้องลดหรือหลีกเลี่ยงการให้ขนมที่มีพลังงานสูง เช่น ขนมสุนัขแบบอบแห้ง หรืออาหารคน เช่น ข้าว ขนมปัง ไก่ทอด โดยหากจะให้ขนม ควรนับรวมในพลังงานรวมต่อวันที่ต้องไม่เกิน 10 % ของพลังงานทั้งหมด และต้องเลือกขนมที่มีพลังงานต่ำ เช่น ทำจากแครอท หรือแตงกวา
การลดน้ำหนักที่ดีอีกอย่างคือ ต้องเพิ่มกิจกรรม (Exercise Management) โดยพาไปออกกำลังกาย ควบคู่กับการควบคุมอาหาร วิธีการนี้จะช่วยเร่งการลดน้ำหนักได้ และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
ขอแนะนำให้พาสุนัขไปเดินอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30–60 นาที โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง หรือให้เล่นของเล่นที่ทำให้ต้องเคลื่อนไหว เช่น ลูกบอลหรือของเล่นปริศนาเพื่อให้สุนัขค้นหาของเล่น และหากทำได้ต้องพาไปว่ายน้ำ โดยเฉพาะสุนัขที่มีปัญหาข้อต่อ แต่ต้องย้ำว่าการพาสุนัขไปออกกำลังกาย ต้องเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป ห้ามหักโหมเป็นอันขาด โดยเฉพาะสุนัขที่อ้วนจัดหรือมีปัญหาเรื่องข้อ
เมื่อทำตามเรื่องที่ระบุข้างต้นแล้ว ต้องชั่งน้ำหนักทุก ๆ 2 สัปดาห์ แล้วต้องประเมิน BCS ทุกเดือน ถ้าหากน้ำหนักลดเร็วเกินไป คือมากกว่า 2 % ต่อสัปดาห์ ก็อาจเสี่ยงเกิดภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อได้ แต่หากน้ำหนักไม่ลดตามเป้าหมาย ก็ต้องปรับลดพลังงานลงอีก 10–15 % หรือต้องตามดูว่ามีใครแอบให้อาหารกับสุนัชหรือไม่ แต่หากพยายามลดน้ำหนักผ่านไป 2–3 เดือน แล้วไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ ก็ขอให้ไปรือสัตวแพทย์ เพื่อตรวจคัดกรองโรคที่อาจแฝงอยู่ เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือ Cushing's Disease
สรุป การลดน้ำหนักสุนัขอ้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างเจ้าของสัตว์กับสัตวแพทย์ และต้องประเมินสุขภาพ กำหนดเป้าหมาย ควบคุมอาหาร เพิ่มกิจกรรม และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพราะการวางแผนอย่างถูกต้องจะช่วยให้สุนัขกลับมามีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม และช่วยยืดอายุ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี