การจำพรรษาของท่าน (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ในจังหวัดเชียงใหม่ทราบว่า
ท่านจำที่หมู่บ้านจอมแตง อำเภอแม่ริม ๑ พรรษา
ที่บ้านโป่ง อำเภอแม่แตง ๑ พรรษา
ที่บ้านกลอย อำเภอพร้าว ๑ พรรษา
ในเขาอำเภอแม่สวย ๑ พรรษา
ที่บ้านปู่พระยาอำเภอแม่สวย ๑ พรรษา
ที่วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา
ที่บ้านแม่ทองทิพย์ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑ พรรษา
ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ๑ พรรษา
ส่วนที่ท่านเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามบ้านป่าบ้านเขานั้นจำไม่ได้ทุกสถานที่ไป และไม่สามารถนำมาเรียงลำดับพรรษาก่อนและหลังกันได้ เพราะท่านเที่ยวอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายนานถึง ๑๑ ปี
ต่อไปจะขอระบุเฉพาะหมู่บ้านที่ท่านพักซึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เป็นแห่ง ๆ ไป ที่ไม่จำเป็นจะไม่ขอกล่าวถึง ท่านพักอยู่ในที่นั้น ๆ ไม่ว่าจำพรรษาหรือเที่ยววิเวกธรรมดา เว้นวัดเจดีย์หลวง นอกนั้นทราบว่าเป็นป่าเป็นเขาซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ๆ แทบทั้งนั้น และเป็นการเสี่ยงต่อภยันตรายหลายอย่างมาตลอดระยะที่ท่านเที่ยวบำเพ็ญ ฉะนั้นประวัติท่านจึงเป็นประวัติที่สำคัญมาก ทั้งการเที่ยวธุดงคกรรมฐาน และการรู้เห็นธรรมประเภทต่าง ๆ เป็นเรื่องแปลกและพิสดารผิดกับประวัติของอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นนักท่องเที่ยวบำเพ็ญเหมือนกันอยู่มาก
เริ่มแรกที่ท่านออกปฏิบัติในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ท่านไปเที่ยวและพักอยู่เพียงองค์เดียว ถ้าเป็นแบบโลกก็นับว่าเปล่าเปลี่ยวที่สุด ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงคงแทบไม่หายใจ เพราะความกลัวบังคับอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอนได้ แต่สำหรับท่านแล้วในอิริยาบถทั้งสี่ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลผู้เดียว ท่านถือว่ามีความสุขทางจิตใจและสะดวกทางความเพียรมาก เพราะการถอดถอนกิเลส ท่านก็ถอดถอนได้ด้วยอำนาจความเพียรของบุคคลผู้เดียวดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
ต่อมาค่อยมีพระทยอยไปหาท่าน มีท่านเจ้าคุณเทสก์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ท่านอาจารย์สาร ท่านอาจารย์ขาว วัดถ้ำกลองเพล เป็นต้น แต่อยู่กับท่านชั่วระยะกาลเท่านั้น ท่านก็สั่งให้ออกหาที่วิเวกตามที่ต่าง ๆ แถบหมู่บ้านชาวเขาที่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน ที่ชายเขาบ้าง บนหลังเขาบ้าง หมู่บ้านละ ๔-๕ หลังคาเรือนบ้าง ๙–๑๐ หลังคาเรือนบ้าง พอได้อาศัยเขาไปเป็นวัน ๆ ท่านเองก็ชอบอยู่ลำพังองค์เดียวตามนิสัย
พระกรรมฐานสมัยท่านเป็นผู้นำพาดำเนินครั้งนั้นปรากฏว่าเด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก เที่ยวแสวงหาธรรมกันแบบเอาชีวิตเข้าประกันจริง ๆ ไม่อาลัยชีวิตยิ่งกว่าธรรม ที่ใดมีสัตว์เสือชุม ท่านชอบสั่งให้พระไปอยู่ที่นั้น เพราะเป็นที่ช่วยกระตุ้นเตือนสติปัญญามิให้นิ่งนอนใจ ความเพียรก็จำต้องติดต่อกันไปเอง และเป็นเครื่องหนุนจิตใจให้มีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น
ท่านเองก็พักบำเพ็ญเป็นสุขวิหารธรรมอยู่สบาย ในป่าในเขาที่สงัดปราศจากผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน การติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม พญานาค ภูตผีที่มาจากที่ต่าง ๆ ท่านถือเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับพวกมนุษย์ชาติต่าง ๆ ที่รู้ภาษากัน เพราะท่านชำนิชำนาญในทางนี้มาช้านานแล้ว
ท่านพักอยู่ที่ป่าที่เขา โดยมากก็ทำประโยชน์แก่พวกกายทิพย์นี้ และพวกชาวเขาซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ค่อยมีแง่งอนต่าง ๆ เวลาเขารู้นิสัยและซาบซึ้งในธรรมท่านแล้ว เขาเคารพเลื่อมใสท่านมากแบบเอาชีวิตเข้าประกันได้เลย
คำว่าชาวป่าชาวเขา เช่น พวกอีก้อ ขมุ มูเซอ แม้ว ยางเหล่านี้ ตามความคาดหมายของคนทั่วไป เข้าใจว่าเขาเป็นคนป่าคนเขา รูปร่างทั้งหญิงทั้งชายต้องขี้ริ้วขี้เลอะตัวดำกำโคลนราวกับตอตะโกแน่ ๆ แต่ท่านว่าคนพวกนี้รูปร่างหน้าตาสวยงาม และขาวสะอาดสะอ้าน กิริยาเรียบร้อย มีระเบียบขนบธรรมเนียมดี เคารพนับถือผู้ใหญ่และผู้เป็นหัวหน้าในหมู่บ้านดีมาก สามัคคีกันดี ไม่ค่อยมีประเภทแหวกแนวแฝงอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้นในสมัยนั้น มีความเชื่อถือผู้ใหญ่และหัวหน้าบ้านมาก หัวหน้าพูดอะไรชอบเชื่อฟังและทำตาม ไม่ดื้อดึงฝ่าฝืน สั่งสอนก็ง่ายไม่ค่อยมีทิฐิมานะ คำว่าป่าแทนที่จะเป็นป่าเถื่อนแบบสัตว์ แต่กลับเป็นป่าแห่งคนดีมีสัตย์มีศีล ไม่มีการฉกลักขโมยปล้นจี้กันเหมือนป่ามนุษย์ล้วน ๆ
ป่าไม้ป่าสัตว์เป็นป่าที่ไม่ค่อยได้ระเวียงระวังมากเหมือนป่ามนุษย์ล้วน ๆ ที่เต็มไปด้วยภัยนานาชนิด กิเลส ความโลโภ โทโส โมโห เป็นป่าลึกลับชนิดที่โดนเอา ๆ ไม่เว้นแต่ละเวลา เมื่อโดนเข้าแล้วต้องเป็นแผลลึกอยู่ภายใน และคอยทำลายสุขภาพทางร่างกายและจิตใจให้เกิดทุกข์เสียหายไปนาน ๆ ไม่ค่อยมีวันหายได้เหมือนแผลชนิดอื่น ๆ และไม่ค่อยสนใจหายามาระงับหรือกำจัดกันด้วยแผลลึกที่กิเลสเหล่านี้ตำ จึงมักจะเป็นแผลเรื้อรัง ผู้ถูกตำก็มักปล่อยทิ้งไว้ให้หายไปเอง ป่าประเภทนี้มีอยู่ในใจของมนุษย์หญิงชายพระเณรทุกคนไม่เลือกหน้า ถ้าเผลอก็เสียท่าให้มันจนได้
ท่านว่าเท่าที่ท่านพยายามอยู่ในป่าก็เพื่อจะกำจัดตัดป่าเสือร้ายภายในตัวคึกคะนองและโหดร้ายทารุณไม่มีวันสงบซบเซาลงบ้างเลยนี้ ให้สงบหรือตายไปจากใจ พอได้อยู่สบายหายวุ่นบ้าง สมกับมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาดแสวงหาความสุขใส่ตนในเวลาที่ได้เกิดมาเป็นคนทั้งชาติ ไม่ขาดทุนสูญอำนาจวาสนาแห่งความเป็นมนุษย์ไปเปล่า ๆ
ท่านอยู่ป่าอยู่เขาเช่นนั้น เวลามีหมู่คณะไปอาศัยท่าน การอบรมสั่งสอนก็เด็ดเดี่ยวไปตามสถานที่และผู้ไปเกี่ยวข้อง เพราะผู้ที่ไปหาท่านโดยมากมักมีแต่ผู้กล้าตายแบบเสียสละทุกอย่างแล้วทั้งนั้น การสั่งสอนจึงทำให้สมภูมิทั้งสองฝ่าย จะตายก็ยอมให้ตายไปด้วยความเพียร เมื่อชีวิตยังเป็นไปอยู่ก็ขอให้รู้ให้เห็นธรรมและหลุดพ้นจากทุกข์ภายในใจ ไม่ต้องกลับมาเกิดตายและทนทุกข์ซ้ำซากอยู่ในโลกไม่มีขอบเขตแห่งความสิ้นสุดนี้
การอบรมสั่งสอนพระในคราวอยู่เชียงใหม่ผิดกับแต่ก่อนอยู่ ไม่มีการอนุโลมผ่อนผันใด ๆ เลย แม้พระที่ไปอบรมกับท่านโดยมากก็เป็นพระประเภทปฏิโลม ฟังกันแบบปฏิโลม คือคอยจ้องมองดูกิเลสของตัวจะแสดงขึ้นมาอย่างไรบ้าง เพื่อปราบปรามให้หายพยศลดกำลังโดยถ่ายเดียว มิได้ไปสนใจคิดว่าท่านเทศน์หนักไป เผ็ดร้อนไป ยิ่งท่านเทศน์เผ็ดร้อนเท่าไร ธรรมก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ ใจก็ยิ่งสงบแนบแน่นดีสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นสงบ ผู้อยู่ในขั้นปัญญาจิตก็พยายามคิดค้นตามคำเทศน์ท่านไปเรื่อยไม่ลดละ
ท่านอยู่เชียงใหม่เทศน์ธรรมสูงมาก เพราะความรู้ท่านก็เต็มภูมิ ผู้ไปศึกษาอบรมก็มีภูมิจิตสูง และเป็นไปด้วยความหมายมั่นปั้นมือที่จะให้รู้ให้เห็นขั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับจนสุดภูมิ นอกจากเทศน์ธรรมดาแล้วยิ่งมีธรรมแปลก ๆ คอยดักใจผู้คิดออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย ประเภทหลังนี้มีอำนาจมากในการดักจับและปราบโจรภายในของพระที่ชอบขโมยสิ่งของเก่งแบบไม่เลือกกาลสถานที่ คือขโมยคิดเรื่องร้อยแปดตามนิสัยของคนมีกิเลส มิใช่แบบเขาขโมยกันทั่ว ๆ ไป
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ต่อจากตอน "เมื่อท่านเกิดความสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติ พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกมาแสดงให้ดู" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-05.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี