เมื่อการพลัดพรากคือ 'สัจธรรม' จงเตรียมใจและใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ชีวิตนี้เป็นดั่งสายน้ำที่ไหลไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนคล้อยไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ได้ตลอดไป รวมถึงความสัมพันธ์กับสิ่งอันเป็นที่รักของเราด้วย พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราตระหนักรู้ถึงสัจธรรมข้อนี้ นั่นคือ "เราจะละเว้นเป็นต่างๆ คือว่า จะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง"
นี่คือหัวใจสำคัญของธรรมะเรื่องนี้ เป็นการบอกถึง กฎธรรมชาติ ที่เรียกว่า อนิจจัง หรือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน คำว่า "ละเว้นเป็นต่างๆ" ในที่นี้ หมายถึง ไม่คงอยู่ในสภาพเดิม ทุกสรรพสิ่งที่เราเห็น เราสัมผัส เรายึดถือ ต่างก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ หรือคงอยู่ได้ตลอดไป เช่นเดียวกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า มันไม่เคยหยุดนิ่งอยู่ในรูปทรงเดิมนาน ๆ สุดท้ายก็สลายไป
เมื่อทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้ ก็ย่อมต้องมีการแยกจากกัน การสูญเสีย การจากไป ซึ่งนี่คือความหมายของ "จะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง" ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัว เพื่อนสนิท ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่งร่างกายของเราเอง วันหนึ่งเราจะต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป หรือสิ่งเหล่านี้ก็จะต้องจากเราไป นี่ไม่ใช่คำขู่หรือคำสาปแช่ง แต่คือความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทำไมเราจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้?
การเข้าใจเรื่องการพลัดพรากนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เราเศร้าหมองหรือหดหู่ แต่เพื่อเป็นการเตรียมใจและฝึกจิตให้ยอมรับความจริงและใช้ชีวิตอย่างมีสติในทุกขณะ เช่น
เพื่อลดความทุกข์ เมื่อเรายึดติดกับสิ่งใดมากเกินไป เหมือนกับการที่เราสร้างปราสาททรายอย่างสวยงามริมทะเล และเรายึดติดกับมันมาก แต่เราลืมไปว่าน้ำทะเลจะขึ้นและคลื่นจะซัดปราสาทนั้นพังไป เมื่อปราสาทพัง เราก็จะทุกข์ใจมาก แต่ถ้าเราสร้างมันขึ้นมาโดยรู้ว่าเดี๋ยวมันก็จะพัง เราอาจจะมีความสุขกับการสร้างมัน การชื่นชมมันในขณะที่มันยังอยู่ และเมื่อมันพังไป เราก็เข้าใจและยอมรับได้ ความทุกข์ก็จะลดลงไปมาก การยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งไม่จีรังยั่งยืน จะช่วยให้เราเผชิญหน้ากับความสูญเสียได้อย่างเข้มแข็งขึ้น
เพื่อเห็นคุณค่าในปัจจุบัน เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งมีวันจากไป เราจะใช้เวลาที่มีอยู่กับสิ่งอันเป็นที่รักอย่างคุ้มค่ามากขึ้น ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ผัดวันประกันพรุ่งที่จะแสดงความรักความห่วงใย เหมือนกับที่เรารู้ว่าดอกไม้สวยๆ ที่เราเห็นจะบานอยู่ได้ไม่นาน เราก็จะชื่นชมความงามของมันในขณะที่มันบานอย่างเต็มที่
เพื่อปลงวางและปล่อยวาง การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทำให้เราติดกับดักของความอยาก ความโลภ และความไม่พอใจ การยึดติดก็เหมือนกับการแบกของหนักๆ ไว้ตลอดเวลา พอเราเข้าใจว่าของทุกชิ้นที่เราแบกนั้นไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง วันหนึ่งเราก็ต้องวางมันลง เราก็จะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะ "วาง" หรือ "ปล่อยวาง" สิ่งต่างๆ ออกไปจากใจบ้าง ไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
เพื่อเตรียมตัวสำหรับการจากไปของเราเอง หากเราฝึกฝนจิตให้ยอมรับการจากไปของสิ่งอื่นได้ เมื่อถึงคราวที่ร่างกายของเราเองต้องจากโลกนี้ไป เราก็จะสามารถจากไปได้อย่างสงบและไม่ยึดติด
เราจะเตรียมตัวรับมือกับการพลัดพรากได้อย่างไร?
เมื่อเราเข้าใจถึงความจริงของการพลัดพรากแล้ว เราก็สามารถเตรียมตัวรับมือกับสิ่งนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้จิตใจของเราเข้มแข็งและสงบได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน หมั่นระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งต่างๆ รอบตัว ลองสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างมีสติ เช่น มองต้นไม้ที่กำลังออกดอก แล้วนึกถึงว่าเดี๋ยวมันก็จะร่วงโรยไป หรือมองก้อนเมฆที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ การทำเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยให้จิตใจของเราค่อยๆ คลายจากความยึดติด และเห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ในขณะที่ยังอยู่ด้วยกัน จงใช้เวลากับคนที่รัก ทำความดีต่อกัน สร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะการรู้ว่าต้องพลัดพรากไม่ได้แปลว่าเราไม่ควรมีความรักหรือความผูกพัน แต่แปลว่าเราควรใช้ความรักและความผูกพันนั้นอย่างเต็มที่ในขณะที่ยังทำได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกันไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความทรงจำที่ดี และความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน
ฝึกเมตตาภาวนา แผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่น เพื่อให้จิตใจอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรักและความปรารถนาดี เมื่อเราแผ่เมตตาให้ผู้อื่น เราจะรู้สึกถึงความรัก ความปรารถนาดี และการให้อภัย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจของเราไม่ยึดติดกับความโกรธ ความเศร้า หรือความผิดหวังเมื่อต้องพลัดพรากจากกัน
เจริญปัญญา ศึกษาธรรมะให้เข้าใจถึงกฎของ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง), ทุกขัง (เป็นทุกข์), อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) การทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็นความจริงของโลกและชีวิตได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เหมือนกับการที่เรามีแผนที่ในการเดินทาง เราก็จะรู้ทิศทางและเตรียมพร้อมรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นนัก ไม่มีอะไรแน่นอน ชีวิตเปรียบเสมือนลมหายใจเข้าและออก เราไม่รู้ว่าลมหายใจต่อไปจะมาถึงเมื่อไหร่ จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทำในสิ่งที่ควรทำ ละเว้นในสิ่งที่ไม่ควรทำ สร้างบุญ สร้างกุศล เพื่อเป็นเสบียงติดตัวไป เพื่อให้เมื่อถึงเวลาที่เราต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไป เราจะไปได้อย่างสงบและไม่ต้องกังวล
การพลัดพรากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอ จงอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงข้อนี้ แต่จงใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ สร้างสรรค์สิ่งดีงาม และเตรียมพร้อมสำหรับทุกการเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อเราเข้าใจและยอมรับการพลัดพรากได้อย่างแท้จริง เราจะพบกับความสงบสุขที่ยั่งยืนในใจ - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี