ในช่วงฤดูฝนนี้ผู้เขียนได้รับคำถามหรือการปรึกษาทางกฎหมายจากประชาชนเกี่ยวกับคดีประมาท คดีอุบัติเหตุ หรือคดีรถชนเป็นจำนวนมาก(อันที่จริงแล้วก็เป็นประเภทคดีที่มีสอบถามเข้ามาทั้งปี) โดยประเด็นยอดฮิตที่สอบถามเข้ามามักจะเป็นเรื่อง เรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่เรียกค่าเสียหายได้อย่างไร คดีล่าช้าทำอย่างไร ประกันบ่ายเบี่ยงทำอย่างไร และอีกหลากหลายคำถามซึ่งคงมีโอกาสได้ทยอยเขียนเล่าในคอลัมน์นี้
ในตอนแรกนี้ผู้เขียนขอเล่าถึงภาพรวมในคดีประมาท กรณีเกิดอุบัติเหตุสิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ กรณีเสียชีวิตนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยง่าย แต่การบาดเจ็บสาหัสนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บของผู้เสียหาย หากปรากฏชัดเช่นทุพพลภาพถาวร อวัยวะภายในฉีกขาด ลักษณะนี้ค่อนข้างวินิจฉัยง่าย และต้องพิจารณาประกอบกับใบรับรองแพทย์และระยะเวลาในการรักษาตัวด้วย
กรณีผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต พนักงานสอบสวนจะต้องทำสำนวนคดีส่งพนักงานอัยการและพนักงานอัยการจะต้องส่งฟ้องศาลเสมอ ไม่ใช่คดีที่สามารถยอมความได้ โดยผู้บาดเจ็บหรือทายาทของผู้เสียชีวิต มีสิทธิ์ในฐานะผู้เสียหายในการเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในคดีอาญาได้ และยังมีสิทธิ์ยื่นฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดหรือผู้ที่ต้องร่วมรับผิดด้วย
หลักสำคัญในการพิจารณาว่าผู้เสียหายจะเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในคดีอาญา หรือจะแยกฟ้องคดีแพ่งเอง แบบไหนจะดีกว่านั้นผู้เขียนขอแนะนำว่า ให้พิจารณาจากผู้ประมาทว่ามีบริษัทประกันหรือไม่และเป็นการกระทำในฐานะส่วนตัวหรือกระทำในขณะที่เป็นลูกจ้าง เช่น พนักงานขับรถ หากกรณีผู้ประมาทขับรถยนต์ส่วนตัวและไม่มีประกันภัยภาคสมัครใจหรือประกันภัยภาคสมัครใจชำระเงินครบถ้วนตามวงเงินแล้ว แบบนี้ไม่จำเป็นจะต้องยื่นฟ้องคดีแพ่งต่างหากสามารถเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในคดีอาญาไปเลย เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มอีก 1 คดี และไม่มีบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดทางแพ่งเพิ่มเติมนอกจากผู้ประมาท
แต่หากทางผู้ประมาทกระทำในฐานะของลูกจ้าง พนักงานขับรถ และมีบริษัทประกันภัยภาคสมัครใจ ในกรณีแบบนี้ผู้เขียนแนะนำว่าผู้เสียหายควรจะฟ้องคดีแพ่งต่างหากเพราะในคดีอาญานั้นนายจ้างกับบริษัทประกันภัยมิใช่คู่ความและไม่ใช่จำเลย การที่จะให้นายจ้างหรือบริษัทประกันภัยเข้ามาร่วมรับผิดกับผู้ประมาทนั้นจำเป็นจะต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก ซึ่งแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมศาลในคดีแพ่งเพิ่มอีก 1 คดี แต่มีโอกาสที่จะได้รับเงินเยียวยาตามที่ผู้เสียหายพึงพอใจมากขึ้น เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจของบริษัทประกันภัยและนายจ้างน่าจะดีกว่าผู้ประมาทคือลูกจ้าง
ในตอนต่อไปผู้เขียนจะลงรายละเอียดแต่ละขั้นตอนในการดำเนินคดีประมาทฝากติดตามด้วยนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี