สังคมไทยวันนี้ เราต้องยอมรับว่า ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นในครอบครัวมากมายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวแตกแยก, ความรุนแรงในครอบครัว, การตั้งครรภ์วัยรุ่น, การถูกทอดทิ้ง ทั้งในวัยทารก ผู้สูงอายุ ซึ่งทุกปัญหา ล้วนขยายผลกลายเป็นปัญหาของชาติไปในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เอง ภาครัฐจึงมิได้นิ่งนอนใจที่จะยุติปัญหาครอบครัวเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้ลุกลามขยายตัวต่อไป ด้วยการสร้างสรรค์“ครอบครัวสุขภาวะ” ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้แต่ละครอบครัวมีความสามารถในการจัดการดูแลสุขภาวะของตนเอง เป็นเสมือนการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชุมชนและประเทศชาติให้ยั่งยืนสืบไป
แผนงานที่ภาครัฐวางเอาไว้เพื่อรังสรรค์ให้เกิด “ครอบครัวสุขภาวะ” เพื่อใช้เป็นทางออกสู่อนาคตไทย 4.0 ที่ทุกคนต้องก้าวเดินต่อไป ด้วยการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560-2564 รวมระยะ 5 ปี เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาสถาบันครอบครัวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงบทบาทการขับเคลื่อนงานสร้างสุขภาวะครอบครัวว่า สสส. มีแนวทางการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการขยายฐานครอบครัวอบอุ่น คือ 1) สร้างครอบครัวอบอุ่นในชุมชน นำร่องใน 11 จังหวัด โดยปี 2562 จะยกระดับให้มี 7 จังหวัดต้นแบบครอบครัวอบอุ่น ประกอบด้วย ลำปาง พะเยา เลย กาฬสินธุ์ สุรินทร์ อุบลราชธานี และตรัง โดยใช้กลไกการถอดบทเรียนจากศูนย์พัฒนาครอบครัวระดับตำบล มีคณะทำงานในชุมชนที่เกิดจากคนในชุมชนลุกขึ้นมาจัดการ ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่ายที่มีเป้าหมายตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวในชุมชน ผ่านการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำรวจครัวเรือนในชุมชน รวมไปถึงพัฒนาหลักสูตรอบรมแก่คณะทำงานในประเด็นที่ครอบคลุม เช่น สอนการทำบัญชีครัวเรือน เพิ่มรายรับ ลดรายจ่ายที่เสี่ยงต่อสุขภาพ วิธีการคุยเรื่องเพศกับลูกเชิงบวก แนวทางการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการเป็นต้น ซึ่ง สสส.และภาคีเครือข่ายพยายามร่วมกันหาคำตอบว่าหากครอบครัวในชุมชนมีปัญหาแบบนี้จะต้องป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร? 2) สร้างครอบครัวอบอุ่นในสถานประกอบการเนื่องจาก สสส. มองว่าที่ทำงานจะเป็นChange Agent ที่สำคัญ หากสถานที่ทำงานออกแบบนโยบายที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตที่สมดุลของพนักงานระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว หรือสร้าง Work Life Balance ให้พนักงานในองค์กรได้ เช่น บริษัท แพนด้า จิลเวอรี่ จัดตั้งศูนย์เด็กเล็กในสถานประกอบการ เพื่อที่หลังจากพนักงานลาคลอดครบกำหนดแล้วสามารถนำลูกมาฝากไว้ที่ศูนย์และตนเองก็สามารถเข้าไปทำงานได้ รวมถึงการมอบทุนการศึกษาให้ลูกของพนักงาน เป็นต้น 3) สร้างการขับเคลื่อนในเชิงนโยบายสู่การปฏิบัติจริง เพื่อเป็นการบอกต่อให้ครอบครัวและชุมชนอื่นๆ ได้เรียนรู้แนวทางเพื่อการขยายฐานครอบครัวอบอุ่นให้เพิ่มขึ้น
ศ.ดร.รุจา ภู่ไพบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินโครงการศึกษาครอบครัวไทยแบบบูรณาการตามวงจรชีวิต ครอบครัว เรื่อง ครอบครัวไทยยุค 4.0 อยู่ดีมีสุขจริงหรือ? โดยการเก็บข้อมูล 6,300 ครอบครัว8 จังหวัดใน 4 ภูมิภาค ด้วยการทำแบบสอบถามวัดคะแนนครอบครัวอยู่ดีมีสุข 9 ด้าน ได้แก่ 1) ความร่วมใจและปลอดภัยในชุมชน2) สัมพันธภาพ 3) บทบาทหน้าที่ 4) เศรษฐกิจ 5) การดำเนินชีวิตแบบพอเพียง 6) ความมั่นคงและพึ่งพา 7) การศึกษา 8) การดูแลสุขภาพ และ 9) การพัฒนาจิตวิญญาณ และศึกษาครอบครัวลักษณะเฉพาะ 100 ครอบครัว (แม่วัยรุ่น ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุต้องการพึ่งพา ผู้สูงอายุเลี้ยงหลาน ครอบครัวมีผู้พิการ ป่วยเรื้อรัง/ติดเตียง) พบปัญหาครอบครัวแตกแยกและความรุนแรงในครอบครัว มีปัญหาตั้งครรภ์วัยรุ่นและมีการทอดทิ้งสมาชิกเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังพบว่า ดัชนีครอบครัวอบอุ่นลดลงคณะเดียวกันครัวเรือนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น มีอัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นทำให้เด็กอาศัยอยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น มีปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจสังคม วิถีชีวิต และค่านิยม ทำให้การทำหน้าที่ของครอบครัวขาดประสิทธิภาพ โดยพบว่าภาคใต้เป็นภูมิภาคที่ให้คะแนนความอยู่ดีมีสุขสูงสุด รองลงมาเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ และกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ให้คะแนนความอยู่ดีมีสุขน้อยที่สุด
จากข้อมูลดังกล่าวต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ไม่ทำให้เกิดความสุขแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิด การจัดงาน “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ประจำปี 2561”โดยการจัดของ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศภายใต้แนวคิดรู้เท่าทันสุขภาพ ร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ ซึ่งได้มีการหยิบยกเรื่องครอบครัวไทยมาหารือในวงเสวนาเรื่อง “ชุมชนและรัฐร่วมสร้างครอบครัวสุขภาวะได้อย่างไร” ซึ่งจากการนำเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันว่า การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาให้เกิด “ครอบครัวสุขภาวะ” ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรกระทำอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายร่วมกันศึกษาสถานการณ์ในประเด็นด้านครอบครัวพบว่า สิ่งแวดล้อมในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพของมนุษย์ เป็นต้นทุนชีวิตที่สำคัญตั้งแต่ในครรภ์มารดาสู่การลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพที่จะเกิดในอนาคต เช่น ติดเหล้า ติดบุหรี่หากบ้านหลังหนึ่งสามารถสร้างสุขภาวะให้เกิดขึ้นได้ ก็จะสามารถขยายเป็นชุมชนสุขภาวะได้ด้วยเช่นกัน
ทุกวันนี้ หากระบบเศรษฐกิจยังดึงคนวัยทำงานออกจากความรับผิดชอบในครอบครัว จนพวกเขาไม่มีเวลา ที่พาลูกไปหาหมอ หรือ มีเวลาที่จะสร้างความอบอุ่นให้กับครอบครัวบ้าง ปัญหาก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากภาครัฐและเอกชนสามารถออกนโยบายที่เอื้อแก่พนักงาน เช่น เฝ้าลูกป่วยไปพร้อมๆ กับทำงานที่บ้าน (Work from home) จะเป็นการเกื้อกูลกันและกัน ที่ควรจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี