ผมรู้จักคุณจิมมี่ คุณพจนารถ ซีบังเกิด มากว่า 20 ปีแล้วช่วงแรกคุณจิมมี่ทำงานประจำอยู่หลายบริษัททางด้านบุคลากรแต่เป็นคนชอบเรียนรู้หาความรู้ใหม่ๆ ไม่รู้อะไรก็ปรึกษาผมเสมออุปนิสัยเช่นนี้ ทำให้โค้ชจิมมี่มีชีวิตที่น่าสนใจเพราะช่วงหนึ่งไปเรียนต่อที่ศศินทร์ได้ปริญญาโท ได้ทราบว่า โค้ชจิมมี่เห็นคุณค่าของการเป็น Coach ที่ดี จึงได้ไปเรียนหลักสูตรระดับนานาชาติดีๆ หลายหลักสูตรหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
ปัจจุบันคุณจิมมี่เป็นที่ยอมว่าเป็นโค้ชที่ดีระดับแนวหน้าของประเทศ และยินดีมาช่วยงานผมเสมอไม่ว่าเป็นการสอนโทและเอก รวมทั้งช่วยในโครงการ พัฒนาผู้นำขั้นสูงในหลักสูตรผม ด้วยความเต็มใจเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรคนเรียนก็พอใจกับวิธีการของโค้ชจิมมี่
โค้ชจิมมี่โทรศัพท์ถึงผม ว่าได้เชิญ MarshallGoldsmith มาเมืองไทย จะเชิญผมไปทานข้าวกับ Gold Smith และฟังบรรยาย APAC2017 Coaching Conferenceด้วยในวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2560
ที่เขียนถึงโค้ชจิมมี่ และ Marshall Goldsmith นี้เพื่อบอกว่า การได้สัมผัสคนเก่งๆ ในโลก เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้คนไทยมากขึ้นและได้สะสมประสบการณ์ด้วย ไม่ใช่เห่อฝรั่งหรือชาวต่างประเทศเท่านั้น
เขามาปะทะความจริงและตรงประเด็น 2R’s สำหรับ Marshall Goldsmith ผมได้อ่านหนังสือที่เขาเขียน 2 เล่มเรื่อง Mojo คือพูดถึงจังหวะ ที่มีความรู้สึก ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้เกิด Perception (ความเข้าใจ) และPerspective (มุมมองที่หลากหลาย) ชอบหนังสือเล่มนี้เพราะลูกศิษย์ผมที่เรียนเรื่องนี้ ผมจะกระตุ้นให้เขาเกิดพลังในการเรียน ทั้งการอ่านหรือการปะทะทางปัญญา ทำให้เขาอยากทำให้สำเร็จในสิ่งที่สูงขึ้น
ส่วนหนังสืออีกเล่ม ชื่อ What Got You Here Won’t Get You There ซึ่งชื่อหนังสือก็ทำให้คนอยากอ่านแล้ว
เล่มนี้เน้นถึงความสำเร็จ บางครั้งทำให้มีอุปนิสัยที่ไม่เหมาะสม เป็นวิธีการคิดวิเคราะห์ที่น่าสนใจ เพราะ Success อาจจะไปสู่ความล้มเหลวในอนาคตก็ได้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่าหลงตัวเอง คึกคะนองว่าฉันแน่ คนอื่นรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะสำเร็จในช่วงอายุ 30-40 อาจจะล้มเหลวในช่วง 40-60 ก็ได้ Goldsmith แนะนำว่าควรจะระมัดระวัง อย่าประมาทว่าสำเร็จแล้ว
ในทำนองเดียวกับ James Collin เขียนเรื่องผู้นำระดับ 5 ไว้ว่า ยิ่งสูง ยิ่งต้องถ่อมตัวไม่ใช่คิดว่าฉันแน่คนเดียว มีหลายประเด็นที่ Goldsmith แนะนำผู้นำที่สำเร็จว่าไม่ควรจะทำ คือให้ปรับตัวเอง โดยทิ้งอุปนิสัยที่ไม่ดีออกไป เช่น
n คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด คนอื่น ด้อยกว่า มักจะแสดงความสำคัญตนมากกว่าคนอื่นๆ
n อยู่ในหมู่คนหลายๆ คน มักจะคิดว่าฉันสำคัญหรือฉลาดที่สุด
n การพูดจะไม่ระวังช่วงที่โกรธ หรือถูกกระตุ้นให้แสดงออกโดยไม่ควบคุมอารมณ์คล้ายๆ 5K’s ของผม
n มองโลกในแง่ไม่ดี ใครมีความคิดดีๆ แทนที่จะสนับสนุน ก็บอกว่า “ไม่สำเร็จหรอก”
โดยย่อๆ แล้ว Methodology ของ Gold Smith มาจากประสบการณ์ที่เขาเป็นโค้ชมานาน แทนที่มาจากการให้คำปรึกษาหรือการทำวิจัย เป็นต้น ซึ่งอาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้โค้ชเขียนหนังสือมากขึ้นเพื่อแบ่งปันประสบการณ์
จึงฝาก โค้ชจิมมี่ให้กระจายบทสรุปให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสได้รับฟังด้วย สำหรับผมขอสนับสนุนให้มีกูรูต่างประเทศมาพูดไม่ได้ Copy เขา แต่เราได้มุมมองดีๆที่นำมาให้
สำหรับผมเองโชคดีได้มีโอกาสทั้งเชิญและได้รับฟังใกล้ชิดกับกูรูเก่งๆ ต่างประเทศหลายคนด้วยกัน
เริ่มตั้งแต่ Michael Hammer เจ้าพ่อ Reengineeringซึ่งบอกไว้ว่างานที่เราทำอยู่ทุกๆ วัน บางครั้งทำในสิ่งที่ไม่สำคัญคือ ไม่ใช่ Real Work บางครั้งไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรจริงทำให้ไม่เกิดประโยชน์แก่ลูกค้า
Alvin Toffler เจ้าพ่อ Third Wave มองอนาคต ฝึกง่ายๆ ดูว่าพรุ่งนี้ฉันจะทำอะไร ค่อยๆ ทำและฝึกอุปนิสัยในการมองอนาคต
ส่วน Tony Buzan เจ้าพ่อ Mind map พูดว่าถ้าเรียนปริญญาตรีไป 6 ใบ เป็นวิทยาศาสตร์ 3 ใบเป็นสังคมศาสตร์ อีก 3 ใบ ทำให้มองโลกแบบสมดุล
สุดท้าย W.Chan Kim Blue Ocean การสร้าง Creativity จะช่วยทำให้หาลูกค้าใหม่ๆ ได้ ผมจึงได้ประโยชน์จากการรู้จักกูรูเหล่านี้มากขึ้น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี