สมเด็จพระราชบิดา เป็นพระราชสมัญญานาม ที่แพทย์ไทยทุกคนทราบดีว่า หมายถึง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชบิดาของ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ พระองค์ทรงได้รับการยอมรับนับถือและยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” และเป็น “พระบิดาแห่งการสาธารณสุขไทย” ด้วย
พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๖๙ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ ๗ ในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชสมภพเมื่อวันที่๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๔ และได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ”
เมื่อทรงพระเยาว์ ได้รับการศึกษาเบื้องต้น ณ โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาได้เสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นได้เข้าศึกษาวิชาทหารเรือที่ Imperial German Naval College, Frensbourg ประเทศเยอรมนีจนสำเร็จการศึกษา ได้เข้ารับราชการในกองทัพเรือเยอรมัน ทรงพระยศเรือตรี
ปีพ.ศ.๒๔๖๐ เข้าศึกษาเตรียมแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา โดยทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขและวิชาปรีคลินิกบางส่วน ที่ School of Health officer จนสำเร็จการศึกษาในปีพ.ศ.๒๔๖๔
พ.ศ.๒๔๖๙ เสด็จไปศึกษาวิชาแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสำเร็จ การศึกษาในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ ได้รับปริญญา Doctor of Medicine (M.D) เกียรตินิยมชั้น Cum Laude ก่อนที่จะเสด็จกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑
พระองค์ได้ไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำบ้าน ณโรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการตรวจรักษาคนไข้ทั่วไป แต่หลังจากปฏิบัติงานได้เพียง ๓ สัปดาห์ก็ต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ และมีพระอาการประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายนพ.ศ.๒๔๗๒ รวมพระชนมายุได้เพียง ๓๗ ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์
พ.ศ.๒๕๑๓ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระราชบิดา” ทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ตลอดระยะเวลา ๑๐ ปีที่พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับการแพทย์นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้มากมาย ทรงอุทิศทั้งพระราชทรัพย์และพระวรกาย ตลอดจนพระสติกำลังเพื่อการแพทย์โดยแท้ ได้พระราชทานทุนเพื่อการศึกษาและค้นคว้า จากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการก่อสร้างตึกต่างๆ ที่โรงพยาบาลศิริราช พระราชดำรัสและคำสอนสำคัญซึ่งมวลหมู่แพทย์ได้ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่และดำเนินชีวิต ได้แก่
“อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่แพทย์ อาชีพแพทย์ต้องยึดมั่นในอุดมคติคือเมตตากรุณา”
“ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นเพียงแพทย์เท่านั้น แต่ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นคนด้วย”
“ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
ด้วยเหตุนี้การประพฤติปฏิบัติตนของแพทย์นั้น จึงต้องดำเนินไปโดยยึดมั่นอยู่ในเกียรติ ศักดิ์ศรีและจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
จากการที่มีแพทย์จบการศึกษาทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องมีองค์กรที่จะบริหารจัดการ การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ให้อยู่ในกรอบธรรมเนียม ทั้งเรื่องของมาตรฐานการรักษาและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ จึงได้มีการจัดตั้งแพทยสภาขึ้น
แพทยสภาถูกจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สั่งให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งแพทยสภานั้นระบุไว้ในมาตรา ๗ และข้อที่ ๑ ซึ่งถือว่าเป็นข้อที่สำคัญมากคือ “ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม” ส่วนข้อที่ ๓ ของวัตถุประสงค์ ตอนท้ายได้เขียนไว้ว่า “.....และผดุงเกียรติของสมาชิก”
ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของกรรมการ แพทยสภานั้น ได้ระบุไว้ในมาตรา ๒๑ ในข้อที่ ๑ ได้เขียนไว้ว่า “บริหารกิจการแพทยสภาตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา ๗”
การกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่อาจจะประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพนั้น สามารถจะทำได้โดยบุคคลผู้ที่ได้รับความเสียหาย บุคคลอื่นๆ และ คณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งเมื่อแพทยสภาได้รับเรื่องดังกล่าว เลขาธิการจะต้องนำเรื่องนั้นเสนอต่อประธานอนุกรรมการจริยธรรม เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และเสนอให้คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณา
เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องนั้นๆ มีมูลก็จะให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ทำการสอบสวนต่อไป
การปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจริยธรรมและคณะอนุกรรมการสอบสวน ถือเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามีอำนาจเรียกบุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำ และมีหนังสือ
แจ้งให้บุคคลใดๆ ส่งเอกสารหรือวัตถุเพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน
คณะอนุกรรมการสอบสวน เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะส่งสำนวนการสอบสวน และความเห็นในการลงโทษให้กับคณะกรรมการแพทยสภา เพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในการลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ยกข้อกล่าวหาหรือกล่าวโทษ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เหตุสมควรแต่ไม่เกินสองปี และเพิกถอนใบอนุญาต
จะเห็นได้ว่า การดำเนินการสอบสวนผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพนั้น มีระเบียบปฏิบัติและกระบวนการที่ชัดเจน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติว่าผู้ถูกกล่าวหานั้น
เป็นใคร
ฉะนั้นกรณีที่มีผู้กล่าวหาแพทย์ ๔ คนที่อยู่ในกระบวนการรักษานักโทษรายหนึ่ง ซึ่งเมื่อถูกส่งตัวถึงคุก ยังมิได้มีการดำเนินการใดๆ ในลักษณะของการเป็นนักโทษ ไม่มีการแยกขังเพื่อตรวจคัดกรองโรค ไม่มีการโกนศีรษะตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบนักโทษ แต่เมื่ออ้างว่ามีอาการเจ็บป่วย ก็เข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาทันที และแพทย์ที่อยู่ในกระบวนการมีความเห็นว่าอาการเจ็บป่วยรุนแรงวิกฤต อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต จะต้องส่งตัวออกจากคุกทันทีเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ป่วยวิกฤตจะต้องเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินก่อน แต่ก็พบว่าผู้ป่วยรายนี้ได้ถูกส่งตัวเข้ารักษาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ VIP ชั้น ๑๔ ซึ่งปกติจะไม่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤต
ประเด็นข้อร้องเรียนจึงมีว่า ผู้ป่วยที่เป็นนักโทษรายนั้นได้เข้าสู่กระบวนการรักษาตามแบบปกติที่ควรจะเป็นหรือไม่ จึงนำมาสู่การที่แพทย์ถูกกล่าวหาและมีการสืบสวนสอบสวน
จนได้ความแน่ชัด
อุปนายกแพทยสภาได้แถลงข่าวผลการสอบสวนคดีนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงว่าผู้ป่วยนักโทษดังกล่าวป่วยวิกฤต ซึ่งหมายความว่าไม่น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤตโดยทันทีในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่สูงกว่าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จึงเป็นเหตุให้ต้องลงโทษแพทย์ ๓ คน โดย ๑ คนถูกว่ากล่าวตักเตือน ส่วนอีก ๒ คนถูกพักใช้ใบอนุญาต ตามที่มีข่าวออกไปแล้ว
สภานายกพิเศษไม่เห็นด้วยกับการลงโทษดังกล่าว และได้ทำการวีโต้ผลการลงมติของกรรมการแพทยสภา ซึ่งทำให้เรื่องนี้จะต้องถูกนำเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๑๒ มิถุนายนนี้
เชื่อว่าคณะกรรมการแพทยสภาเกินกว่า ๒ ใน ๓ จะลงมติยืนยันการตัดสินลงโทษตามเดิมตามที่แพทย์ส่วนใหญ่ของประเทศและประชาชนจำนวนไม่น้อยคาดหวัง อันจะเป็นการรักษาเกียรติศักดิ์ศรีและจริยธรรมแห่งวิชาชีพไว้ให้คงอยู่
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี