บทความวันนี้ ขอนำงานเขียนของ คุณกรณ์ จาติกวณิชมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันครับ
ปัจจุบัน คุณกรณ์ จาติกวณิช มีบทบาททางการคือ ประธานกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ แต่ละวันก็จะมีงานพบปะผู้รู้ นักคิด นักวิชาการ ประชาชนที่ประสบพบเจอปัญหาและแนวทางแก้ไขในแต่ละวัน รวมถึงผู้มีประสบการณ์ และปราชญ์ชาวบ้านในแวดวงต่างๆ
บทความวันนี้จึงขอขมวดรวมเรื่องเล่าของคุณกรณ์เอาไว้สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ โอกาสของไทยเราต่อเรื่อง Social Media และการพัฒนาเทคโนโลยีอีกเรื่องนั้นคือ บทสะท้อนจากคนขับรถอูเบอร์-แท็กซี่
เรื่องที่หนึ่ง-ไทยเรามาทำ “FB” ของเรากันเอง?
ในยุคแรกๆ การใช้ Facebook (FB) จะใสซื่อมากเป็นยุคที่ FB จะเน้นคำขวัญว่า “Free. And always will be” (ฟรี และจะฟรีตลอดไป) แต่นั่นคือสมัยก่อนที่มีการนำ algorithms มาใช้ในการกดสิทธิ์ว่าเราสามารถ “เห็น” อะไรบ้าง “ไม่เห็น” อะไรบ้าง และก่อนที่บริษัท FBจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมียุทธศาสตร์การแสวงกำไรจากการโฆษณา โดยอาศัยความได้เปรียบจากการวิเคราะห์ความคิดของเราในระบบของเขา เพื่อนำผลการวิเคราะห์ไปขายให้กับผู้ซื้อโฆษณา
อย่างเวลาผมคุยทาง social กับเพื่อนๆ ว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วมีโฆษณาโรงแรมญี่ปุ่นปรากฏในฟีดผมทันทีนั้น ถามว่า ผมชอบไหม ผมก็ต้องตอบว่าไม่ชอบ และทุกครั้งจะรู้สึกเหมือนถูกใครแอบดักฟัง แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอทนได้เพื่อแลกกับบริการที่ใช้โดยไม่ต้องเสียเงิน (ผมหลีกเลี่ยงคำว่า “ฟรี” เพราะไม่ได้ฟรีจริงเนื่องจากเขาเอาดาต้าเราไปใช้งาน)
แต่ข่าวล่าสุดที่ปรากฏว่า FB ได้ปล่อยข้อมูลลักษณะนี้หลุดไปถึงบริษัทที่ปรึกษาการเลือกตั้งต่างชาตินำมาใช้ในการ “แทรกแซงความคิด” ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในอเมริกา (และคงจะในประเทศอื่นๆ ด้วย) ทำให้ผมมองว่านี่เป็นการละเมิดอย่างรุนแรง
นอกเหนือจากนี้ เราจะสังเกตได้ว่าหน้า Page ต่างๆ ที่เราติดตามอยู่จะแทบไม่เคยปรากฏให้เราเห็น ซึ่งสำหรับผม (อาจจะต่างกับคนอื่น) ผมสนใจอ่านความเห็นจากเพจที่ผมติดตาม มากกว่าสนใจเรื่องที่มีสาระน้อยกว่า (พยายามเขียนแบบสุภาพ!) ของเพื่อนหรือญาติพี่น้องซึ่งวันๆ feed ผมจะเต็มไปด้วยเรื่องราวการกินดื่มหรือการบ่นโน่นนี่นั่นโดยคนเดิมๆ ไม่กี่คน (รักทุกคนนะครับ ไม่ใช่ไม่รัก เพียงอยากได้อ่านความคิดเห็นคนอื่นบ้าง) ในขณะที่เพจต่างๆ ที่เคยกดไลค์ติดตามแทบไม่เคยโผล่ (นอกจากถ้าเขาซื้อ boost)
ทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมเริ่มคุยกับน้องๆ ในวงการ tech ว่า เราสามารถสร้างระบบ social ของไทยเราเองได้หรือไม่ อาจเป็นที่ไม่มีการโฆษณาเป็น revenue model หรืออย่างน้อยเป็นระบบที่ผู้ใช้มีอำนาจจากการเป็นเจ้าของดาต้าของตัวเองมากกว่าปัจจุบัน
คนไทยเป็นประเทศที่ใช้ FB มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แต่คนไทยไม่น้อยเริ่มเซ็งกับวิธีการของ FB ที่นับวันดูเหมือนจะใส่ใจกับรายได้และผู้ถือหุ้นมากกว่าสมาชิกผู้ใช้บริการ
นอกจากนี้รัฐสภาในหลายประเทศแสดงความกังวลในนโยบายของ FB ที่ไม่รับผิดชอบต่อข้อความเท็จที่ปรากฏในระบบของตน
และนี่ยังไม่นับประเด็นว่า FB สร้างรายได้จากคนไทยมหาศาลแต่แทบไม่เสียภาษีให้รัฐไทยเลย
เรื่องนี้หากเราไม่ทำอะไร อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศได้ ผมไม่ได้พูดเกินความจริง ไม่คิดไม่ได้แล้วครับ
ถึงเวลาที่ FB จะมีคู่แข่งได้แล้ว เป็นคู่แข่งที่มี business model ที่ต่างกัน คนไทยเราเป็นผู้ใช้เยอะ เราน่าจะเป็นผู้ก่อตั้ง platform ใหม่ได้
ปล. อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผมยังสามารถลงบทความตำหนิ FB บนพื้นที่ของ FB เองได้!
..................................................................
ส่วนเรื่องที่สองคาดว่า หลายคนคงมีประสบการณ์ร่วมไม่มากก็น้อยครับ
เรื่องที่สอง-เสียงสะท้อนจากประชาชน
วันนี้โชคดี รถติดมาก แถมไม่มีรถใช้ เลยต้องเรียก Uber แบบที่เป็นแท็กซี่มิเตอร์
โชคดีเพราะเลยทำให้ได้นั่งคุยยาวๆ กับคนขับแท็กซี่ ชื่อคุณนัชพล เป็นคน อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
นัชพลเล่าว่า ชอบ Uber มาก ซึ่งเขาบอกว่า Uber ทำให้ทุกอย่างมีระเบียบ ตัวบริษัทเข้มงวดกับผู้ขับไม่เหมือนอู่แท็กซี่หลายแห่งที่คนขับบางคนไม่มีใบขับขี่ก็ยังเช่ารถได้ แต่ใครจะขับ Uber บริษัทตรวจละเอียดมาก
และเป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งระบบหากินที่ไม่เป็นธรรม อย่างเช่นที่ดอนเมืองที่จะมี “นายหน้า”คอย “จับ” นักท่องเที่ยวต่างประเทศ เรียกค่าโดยสารแพงๆ แล้วหักส่วนไว้ให้ตนเองและเจ้าหน้าที่การท่าฯ เหลือให้แท็กซี่เองไม่มาก ผู้โดยสารก็ต้องจ่ายแพงเกินควร
คุยกันไปสักพักนัชพลหันมาถามว่า ผมคือกรณ์หรือเปล่า (พอดีเลขาฯ เป็นคนจอง ชื่อผมเลยไม่ปรากฏในระบบ) พอผมยืนยันว่า ใช่ ก็เลยเริ่มแตะเรื่องการเมือง
แน่นอนเขาถามว่า เมื่อไรจะมีเลือกตั้ง และอยากเห็นการเลือกตั้งลงไปถึงระดับผู้ว่าจังหวัดและนายอำเภอเขาสรุปว่า “คนที่ดูแลท้องถิ่นก็ควรมาจากท้องถิ่นไม่งั้นมาแล้วก็ไป ทำงานก็ต้องเอาใจนายที่กรุงเทพฯมากกว่าชาวบ้านในพื้นที่”
เราพูดกันถึงนโยบายต่างๆ นัชพลตั้งคำถามว่าทำไมทหารมีอำนาจเต็มมือแต่ปล่อยให้มียาเสพติดเพิ่มขึ้นมากมาย แถวหนองแขมที่เขาอาศัยอยู่ ยาบ้าราคาถูกกว่าสมัยก่อน และแพร่หลายมากขึ้น
พอพูดถึงชนบทอีสาน นัชพลบอกว่าเงินที่รัฐบาลนี้โปรยลงไปในโครงการต่างๆไม่ว่าโครงการคนจนหรือการแจกเงินชาวนา ล้วนเป็นการใช้เงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่ได้แม้แต่ใจชาวบ้าน สาเหตุเพราะมีกรณีมากเกินไปที่ชาวบ้านเห็นว่า คนไม่ทำนาจริงได้เงินบ้าง คนจนจริงไม่ได้บ้าง จึงมีความรู้สึกว่าน่าจะมีวิธีใช้เงินช่วยชาวบ้านที่ดีกว่านี้
สุดท้ายนัชพลแนะนำผมว่า ชาวบ้านอีสานต้องการแค่สองอย่าง “ข้าวราคาดีและน้ำให้เขาใช้ทั้งปี”
เป็น feedback ที่มาจากใจจริงประชาชนคนหนึ่ง ไม่มีการใช้วาทกรรมใดๆ ที่ฟังมาจากคนอื่น และไม่ได้หวังอะไรนอกจากว่าคนอย่างผมวันหนึ่งอาจจะเข้าไปทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
รู้สึกดีที่รถติด และรู้สึกดีที่เป็นนักการเมือง
สัปดาห์หน้าจะเป็นความคืบหน้าของการที่กกต.อนุญาตให้พรรคการเมืองได้ยืนยันสมาชิกพรรคเดิม ตลอดเดือนเมษายน มีการประกาศกร้าวถึง “ยุคใหม่ประชาธิปัตย์ ยุคใหม่ประเทศไทย”
ผมจะมาเล่าให้ละเอียดถึงแนวคิดจากสโลแกนดังกล่าวครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี