ที่ว่า “ปลดล็อก” ในที่นี้ มิใช่ปลดล็อกให้กับการเคลื่อนไหวการเมือง
แต่เป็นการ “ปลดล็อก” ปมเงื่อนไขข้อจำกัดบางประการที่เคย “ปิดตาย” ทำให้ชาวบ้านและประเทศชาติส่วนรวมเสียโอกาสมาช้านาน
ปรากฏว่า กำลังได้รับการ “ปลดล็อก” ในยุคนี้ เช่น
1. ปลดล็อกการทำไม้เศรษฐกิจบนที่ดินกรรมสิทธิ์
นั่นคือ กรณีรัฐบาล คสช. โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ขับเคลื่อนแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ นำไปสู่การแก้ไข พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ที่บังคับใช้นานกว่า 70 ปีเปิดทางให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถสร้างสวนป่า ปลูกต้นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงบนที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง และดำเนินการตัดขายได้ เช่น ไม้พะยูง ชิงชัน ยางนา ไม้สัก ฯลฯ
ในอนาคต ชาวบ้านที่มีที่ดินกรรมสิทธิ์จะสามารถปลูกต้นไม้มีค่าสูงๆ ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นหัวไร่ปลายนา หรือทำสวนป่า ซึ่งจะเพิ่มช่องทางให้สามารถสร้างการออมผ่านการปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้อายุ 25-30 ปี สามารถตัดขาย ได้เงินหลายหมื่นบาท สามารถใช้เป็นแหล่งรายได้ในยามชราภาพ หรือเป็นบำนาญชีวิตในยามแก่เฒ่าได้เป็นอย่างดี สอดรับกับสภาพสังคมสูงวัย
หลังจากนี้ จะต้องพิจารณาว่า ไม้ชนิดไหนบ้างที่จะอนุญาตให้ปลูกและตัดได้ รวมทั้งออกแบบระบบติดตามในทางปฏิบัติ ซึ่ง คสช.ควรจะติดตามรายละเอียด มิใช่ให้ระบบข้าราชการ หรือกรมป่าไม้ดำเนินการกันเอง มิฉะนั้น อาจไม่บรรลุเป้าหมายตามเจตนาการปฏิรูป เพราะอาจจะออกแบบระบบที่สร้างการขออนุญาตจากราชการเป็นหลักต่อไปอีก ทำให้เกิดข้อจำกัดในทางปฏิบัติไม่รู้จบ และยังจะทำให้ชาวบ้านเกิดภาระ อาจจะต้องจำยอมจ่ายค่าน้ำมันหล่อลื่นให้กับระบบราชการต่อไปอีก ไหนๆ คสช.จะปลดล็อกแล้ว ควรดำเนินการให้สุดซอย ชาวบ้าน
จะสรรเสริญ มิใช่เตะหมูเข้าปากหมา
ลองคิดดู หากทางการรับรอง “ต้นไม้บนที่ดินกรรมสิทธิ์”ให้เป็นทรัพย์สินมีค่าอย่างถูกต้อง สามารถดำเนินการทางธุรกิจได้เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การจำนำ-จำนอง การซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ จะทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่งคั่งและคล่องตัวขึ้นมาในทันทีจำนวนมาก
ก็ขนาดสินทรัพย์ในอากาศอย่างเงินดิจิทัล เขายังรับรองกันได้ แล้วทำไมสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มีค่าจริงๆ ในทางเศรษฐกิจอย่างต้นไม้ ถึงจะรับรองไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะสินทรัพย์ตัวไหนผู้เกี่ยวข้องก็จะต้องรับผิดชอบความเสี่ยงของตนเองกันเป็นปกติอยู่แล้ว
2. ปลดล็อกการวิจัยและการผลิตกัญชาในทางการแพทย์
ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ซึ่งจะเปิดช่องให้สามารถใช้กัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์กับมนุษย์ได้ ก่อนเสนอให้สภานิติบัญญัติพิจารณาต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐมนตรีขยับไปแล้ว เริ่มต้นประชุมคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ อันมีนพ.โสภณ เมฆธน เป็นประธาน เตรียมใช้พื้นที่ขององค์การเภสัชกรรม ย่านพระราม 6 ทดลองปลูกกัญชาและพัฒนาสายพันธุ์ เป็นตึกเนื้อที่ 1,110 ตารางเมตร รวมถึงทำการวิจัยสารสกัดจากกัญชา คาดว่าจะได้ผลผลิตกัญชา 500 กิโลกรัมต่อปี และนำไปวิจัยในคนได้ 500 คน
นอกจากนี้ ยังให้มีคณะกรรมการเพื่อทำงานคู่ขนานในการปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ จะใช้สายพันธุ์อะไร? การสกัดอย่างไรได้คุณภาพดีที่สุด? รูปแบบการใช้ในแบบผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง? สามารถใช้กับโรคอะไรได้บ้าง อาทิ โรคลมชัก พาร์กินสัน ลดความเจ็บปวดในโรคมะเร็ง ฯลฯ? แนวทางการควบคุมดูแลการใช้? ฯลฯ
ทั้งหมด ยังไม่ใช่การปลดล็อกเพื่อการเสพในทางสันทนาการ
แต่กัญชายังเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมายอยู่ เพียงแต่เปิดทางให้วิจัยเพื่อใช้ในทางการแพทย์
ในอนาคต เราอาจจะได้ใช้ยาแผนโบราณที่มีส่วนผสมกัญชา หรือยาที่ปรุงขึ้นมาใหม่ สำหรับผู้ป่วยในโรคหลายๆ ชนิดที่กัญชาสามารถช่วยเหลือบรรเทาอาการได้ หากว่าผ่านการวิจัยอย่างถูกต้องแล้ว
ลองคิดดู กัญชา ถูกจัดเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่มีการใช้มาแต่โบราณ สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์ฯ เผยว่า ตำรับยาที่มีส่วนประกอบของกัญชา มีประมาณ 56 ตำรับ ส่วนใหญ่จะแก้อาการปวด ทั้งปวดท้อง ปวดตัวรวมไปถึงแก้พิษไข้ เจริญอาหาร กินได้นอนหลับ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง
ตำรับยาแก้ไข้นอนไม่หลับ อยู่ในคัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ เล่ม 1 โดยนำมาผสมกับการบูร รำพัน โกฐสอ โกฐหัวบัว เป็นต้น นำมาบดปั้นแท่งละลายน้ำดอกไม้ น้ำตาลกรวดกิน
ตำรับยาสุขไสยาต คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ช่วยแก้ไข้สามฤดู โดยผสมกับสมุนไพรมากมาย อาทิ กฤษณา กระลำพัก ดอกพิกุล ยี่หร่า กระดังงา เป็นต้น แก้ไข้ แก้อาการหอบ แก้นอนไม่หลับ เป็นต้น
ในเมื่อเริ่มต้นแล้ว รัฐบาล คสช. ควรเร่งปลดล็อก และสนับสนุนการขับเคลื่อนการวิจัยต่อไปให้สุดซอย ควรเร่งดำเนินการให้สำเร็จ โดยไม่ลืมคุณค่าของศาสตร์การแพทย์แผนไทย วิชาสมุนไพร เพื่อให้เกิดการต่อยอดการผลิตจากวัตถุดิบที่เราผลิตได้ในประเทศ เพื่อโอกาสในการส่งออกในอนาคตต่อไปด้วย
อย่าปล่อยให้ทอดเวลานาน จนกลายไปเป็นผลงานของคนอื่นเสียล่ะ
3. ปลดล็อกปมขัดแย้งบ้านป่าแหว่งเชิงดอยสุเทพ
ชัดเจนแน่นอนแล้วว่า จะไม่มีใครเข้าไปอยู่อาศัยใช้ประโยชน์จากอาคารบ้านพักที่สร้างขึ้นในพื้นที่ยื่นล้ำเข้าไปในแนวพื้นที่สีเขียวเชิงดอยสุเทพ หรือที่เรียกว่า “บ้านป่าแหว่ง”
ถือเป็นการปลดล็อกความขัดแย้งในอนาคต
หากปล่อยให้ใช้บ้านพักต่อไปได้ จะเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายประชาชนที่คัดค้าน กับข้าราชการตุลาการที่เข้าไปพักต่อไปในภายภาคหน้า ทั้งๆ ที่ ผู้พิพากษาที่เข้าไปพักในอนาคตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกับการตัดสินใจเลือกสถานที่ก่อสร้างโครงการที่จวนจะเสร็จสิ้นอยู่ในเดือนมิ.ย.นี้แล้วก็ตาม
หากปล่อยให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน แม้จะไม่รุกอุทยานแห่งชาติ แต่ทำเลที่ตั้งยื่นตะกายดอยขึ้นไปอย่างโดดเด่น ท้าทายมโนสำนึกและสายตาผู้คนเช่นนี้ ย่อมจะเป็นการเบิกทางให้โครงการอื่นๆ ดำเนินการตามก็เป็นได้ ซึ่งสุดท้าย ก็จะกลายเป็นการเลาะตะเข็บแนวอุทยาน กระชับพื้นที่ขึ้นไปเรื่อยๆ กัดกินตีนดอยขึ้นไปอีก จนในที่สุด ดอยสุเทพก็จะเป็นเหมือนใส่กระโปรงสั้นกุดเพราะตีนดอยถูกเลาะทำโครงการจนเหี้ยน
ในเมื่อภาคประชาชนที่ต่อต้านก็ออกมาอ้างว่า เคยออกมาต่อต้านตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครรับฟังเสียง ก็แสดงว่า ยุคเผด็จการปัจจุบันรับฟังเสียงของประชาชนยิ่งกว่ารัฐบาลนักเลือกตั้งที่ผ่านมา
มาครั้งนี้ ภาคประชาชนควรร่วมกับรัฐบาล คสช.เปิดโปงข้อมูลโครงการว่า เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคไหน?
ช่วงแรก สำนักงานศาลยุติธรรมขอให้ที่ดิน 106 ไร่มาโดยตลอด จนถึงช่วงปี 2542 แต่หลังจากนั้น ช่วงปี 2547-49 กลายมาเป็นโครงการที่ขอใช้ที่ดิน 147 ไร่ แปลงปัจจุบัน ซึ่งบางส่วนตะกายดอยขึ้นไปได้อย่างไร
การอนุมัติให้ใช้ที่ดิน 147 ไร่ เพื่อสร้างบ้านพักนั้น ผลักดันกระทั่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุเพื่อสร้างบ้านพักสำเร็จตั้งแต่กลางปี 2549 (ก่อนรัฐประหาร 2549) หมายความว่าการตัดสินใจจะสร้างบ้านพักที่ตะกายดอยขึ้นไป ได้เกิดขึ้นและผ่านการอนุมัติตั้งแต่ยุคนั้น (อันเป็นยุคเดียวกับที่มีการผลักดันโครงการมากมายในทางสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมป่าดอยสุเทพในสมัยรัฐบาลทักษิณ)
หลังจากนั้น เพิ่งมาได้รับงบประมาณแผ่นดิน และเซ็นสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมาเมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็เป็นการตกลงสร้างบ้านพักบนที่ดินซึ่งดำเนินการผ่านความเห็นชอบไว้แล้วตั้งแต่ยุคโน้นนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ยังไม่ต้องมีธงว่าใครผิด แต่ควรเปิดเผยข้อมูลความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รู้ความจริงว่า มันมีที่มาที่ไปอย่างไร เนื่องจากจนถึงบัดนี้ ยังปรากฏว่ามีประชาชนบางกลุ่ม ใช้เรื่องนี้ไปด่ากราดรัฐบาล คสช.ทำนองว่าเป็นคนสั่งให้รุกป่าดอยสุเทพ แถมปิดหูปิดตาไม่ยอมเชื่อว่าการอนุมัติให้ใช้ที่ดิน 147 ไร่ สร้างบ้านพักผู้พิพากษาเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่กลางปี 2549 โน่น
4. ปลดล็อกไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้ได้นำเครื่องอ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card Reader) มาใช้ในการให้บริการประชาชน แทนการเรียกสำเนาเอกสารแล้ว จำนวน 50 เครื่อง เคาน์เตอร์บริการงานต่างๆ อาทิ งานรับฟ้อง งานการเงิน งานหมาย งานรับคำคู่ความ งานเก็บสำนวน งานอุทธรณ์ฎีกา งานบริหารทั่วไป ศูนย์จัดการมรดก ศูนย์นัดความ ศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ และในห้องพิจารณาคดีทุกบัลลังก์
ศาลแพ่งทำได้ เพราะได้ประสานความร่วมมือและจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้ประชาชนสามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียวในการติดต่อขอรับบริการ โดยแสดงตนด้วยการเสียบบัตรเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของข้อมูลและมาขอรับบริการจริงป้องกันการสวมสิทธิ์และป้องกันการไม่สุจริต โดยเริ่มให้บริการด้วยเครื่องอ่านบัตรประชาชนได้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป
เรียกว่า ฉับไวกว่าหลายๆ หน่วยงาน
ก่อนหน้านี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยประกาศว่า ประชาชนจะไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรทะเบียนบ้าน ในการติดต่อราชการทุกหน่วยงาน เริ่มตั้งแต่เดือนส.ค.
อันที่จริง การใช้สำเนาบัตรประชาชนน่าจะถือเป็นเรื่องล้าหลังไปแล้ว เพราะฐานข้อมูลทั้งหมดของประชาชนผู้ไปติดต่อราชการ ล้วนแต่อยู่ในความครอบครองดูแลของราชการเองทั้งสิ้น เพียงแต่ราชการวางระบบเชื่อมต่อกันก็สามารถเข้าถึง ยืนยัน และตรวจสอบข้อมูลของราษฎรแต่ละรายได้หมด
สำคัญกว่านั้น คือ การปฏิบัติตามกฎหมายการอำนวยความสะดวก ที่ออกมาในยุคนี้ ว่าหน่วยงานราชการได้ดำเนินการกี่เปอร์เซ็นต์ สำเร็จตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแค่ไหน เพราะจะครอบคลุมการติดต่อราชการ การขออนุญาตจากราชการในทุกๆ เรื่อง ซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดแรงผลักดันให้เกิดการทุจริต กินตามน้ำ ยัดใต้โต๊ะ หรือจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี