เขาว่าเอานักรบไปหุงข้าวแล้วจะสุกไหม แต่ถ้าหิวจนแสบท้องติดก้นหม้อก็กินได้ คนเราแม้จะทำงานที่ไม่ตรงกับความถนัด หรือไม่เคยสัมผัสชิมลางมาก่อน คำว่าเย้ยหยัน จะกลายเป็น ยกย่อง ที่ตัวเราได้รับหากมีโอกาสแล้วตั้งใจทำ อยู่ด้วยความกดดันแม้สุดท้ายอาจจะไม่ เด่น แต่ก็ไม่ ด้อย หรืออย่างน้อยกินข้าวไหม้ดีกว่ากินข้าวดิบ เช่นเดียวกับอาชีพ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กับคำว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องทำงานได้

จากสาย บู๊ สู่สาย โบก สำหรับ พ.ต.ท.สุเมธ โภชนา รอง ผกก.จร.สน.ดอนเมือง กลับมองว่าตรงนี้คือสิ่งท้าทายที่เขาได้รับ เมื่อจบ นรต.รุ่น 52 รับราชการครั้งแรกรอง สวป.สภ.เลิงนกทา ก่อนย้ายเข้าสำนักงาน ก.ตร.จากนั้นเป็น รอง สวป.สน.ทองหล่อ และ สน.คลองตัน นายเวร ผบก.ปคม. สว.กก.1 บก.ปคม. จากนั้นอยู่ อต.สำนักงานกำลังพล เป็น สวป.สน.ดอนเมือง และขึ้นรอง ผกก.จร.สน.ดอนเมือง

“เป็นงานท้าทายซึ่งตลอดชีวิตรับราชการ ส่วนใหญ่จะผ่านงาน ป.ในยุคที่อยู่นครบาล และตัวผมเองก็ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงจุดนี้ ยอมรับว่าแต่ก่อนไม่ค่อยชอบงานจราจร ด้วยหน้างานที่ต้องลงไปปะทะ หรือมีปัญหากับประชาชน ซึ่งประชาชนไม่ชอบเราได้ง่าย จากการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ” ดอนเมือง 6 กล่าว

รองเมธ กล่าวว่า ตนมองว่างานจราจร สน.ดอนเมือง อาจจะไม่แตกต่างจากโรงพัก บก.น.2 อื่นภารกิจหลักคือการรับเสด็จเนื่องจากมี บก.ทอ. ซึ่งโรงพักอื่นก็มีภารกิจรับเสด็จเช่นกัน ส่วนงานด้านจราจรเองเป็นพื้นที่ ภูบาล ติดกับ สภ.คูคต สภ.ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี และ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ส่วนนครบาลติดกับ สน.ทุ่งสองห้อง ถือว่าปัญหาการจราจรไม่มาก เมื่อเทียบกับอีก 10 โรงพัก

ไม่มีอะไรยากแต่เป็นงานใหม่สำหรับตน โชคดีเคยอยู่งาน ป. จึงรู้ทุกซอกทุกมุมของ ดอนเมือง ทั้งหน่วยงานราชการกว่าเกือบครึ่ง และเอกชนต่างๆ จึงรู้ว่าจะต้องประสานงานอย่างไร ความรับผิดชอบก็มีเส้นทางหลัก คือพหลโยธินจากปากทางลำลูกกา-แยก คปอ. ถนนวิภาวดีรังสิตหลายคนคิดว่าเป็นของ สน.ดอนเมือง จริงแล้วสน.วิภาวดี รับผิดชอบ บนฟุตบาททั้งสองฝั่งเท่านั้นที่เป็นของเรา

“อนาคตก็ไม่แน่พอความเจริญเข้ามา ทั้งสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งทาง ร.ฟ.ท.มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงสถานีรถไฟและสนามบินที่มีอยู่เดิม เป็นไปได้ว่าการจราจรอาจจะคับคั่งขึ้น ผมมองว่าอนาคตคนจะมาอยู่โซนนี้เยอะ ดูได้จากปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นั้นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดเวลา เพื่อวางแผนและบริหารจัดการจราจรให้ดี”

เติบโตจากงานสาย บู๊ เมื่อมาอยู่งานจราจรจะต้องจับ ปรับ มากกว่าเดิม? รอง ผกก.จร.สน.ดอนเมือง วัย 42 ปี กล่าวถึงหลักการทำงานว่า ตนไม่เน้นการทำงานเพื่อให้ได้ปริมาณ หรือผลการจับกุม แต่จะเน้นย้ำนโยบายของผู้บังคับบัญชา สำหรับเรื่องการออกใบสั่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อยับยั้งอุบัติเหตุ ลดความเสี่ยงความสูญเสียของประชาชน โดยมุ่งเน้นความ ปลอดภัย มากกว่าปริมาณการจับเป็นหลัก

ตนจะมา เคี่ยวเข็ญ กับลูกน้องและเขาก็ค่อนข้างจะกลัว เพราะถือว่าถ้าวินัยหย่อนยาน ผู้บังคับบัญชาก็จะไว้ใจไม่ได้ และที่ติดปลายนวมจากงาน ป.คือการทำงานเป็นทีม ให้เกิดความสามัคคีของหมู่คณะ เราใช้ รอง สว.-สว.คอยประสานและควบคุมการปฏิบัติงาน โดยตนจะลงไปควบคุมอีกที จะไม่ทิ้งให้ลูกน้องอยู่คนเดียวในแต่ละจุด เราพยายาม สื่อสาร กันตลอดเพื่อช่วยกันดูเส้นทาง

“คือผมไม่เคยผ่านงานจราจรมาก่อน ก็พยายามลงไปดูแต่ละจุดที่ลูกน้องยืนอยู่ ว่าเขาทำงานกันอย่างไร มีปัญหาข้อขัดข้องตรงไหน เพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเขา และมีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้าง หรือสนับสนุนอะไรเพิ่มเติม บางทีการเป็นผู้บังคับบัญชา ต้องไปฟังข้อคิดเห็นจากเขาบ้าง บางคนยืนอยู่ตรงจุดนั้นมาเป็นสิบยี่สิบปี เรามาเป็นจราจรใหม่ๆ บางทีไม่รู้ว่าปัญหาในพื้นที่มันมีอะไร”

นอกจากนี้ ตนมองว่า การอำนวยการจราจร และการบริการประชาชน ต้องทำด้วยใจเพราะคือสิ่งสำคัญที่ทาง น.1 และ น.8 เน้นย้ำเสมอตนก็พยายามกำชับลูกน้อง เราเป็นผู้ให้บริการไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในอุดมคติตำรวจก็มีอยู่แล้ว อดทนต่อความเจ็บใจ ลดการปะทะกับประชาชนทุกวันนี้ตำรวจจราจรกับประชาชนเป็น ไม้เบื่อไม้เมา และสื่อโซเชียลค่อนข้างเร็ว ตำรวจก็ควรปรับการทำงาน

โดยยึดหลักการ 4E คือ (Engineering) การใช้ความรู้ทางวิชาการด้านวิศวกรรมจราจร (Education) การให้ความรู้ด้านกฎหมายจราจร (Encouragement) การกระตุ้นเตือนและแสวงหาความร่วมมือจากภาคประชาชน และ (Enforcement) การบังคับใช้กฎหมายด้วยความยุติธรรม ตนจะทำให้คนดอนเมืองได้รับสิ่งที่ดีๆ คือการจราจรที่คล่องตัว ปัญหาอาชญากรรมก็ทำควบคู่กันไป เพราะเลือดนักบู๊ยังอยู่

“ตรงไหนมีปัญหาร้องเรียน ผมจะลงไปเป็นประชาชน ดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร เพื่อจะได้แก้ไขถูกจุด ตำรวจต้องทำได้ทุกงานในความคิดผม ถึงแม้ไม่เคยผ่านงานจราจร แต่พอถึงวันหนึ่งเราได้รับมอบหมายมาอยู่ตรงนี้ก็ต้องทำให้มันได้” พ.ต.ท.สุเมธ ชาว จ.สิงห์บุรี กล่าวทิ้งท้าย

ทีมข่าวอาชญากรรม