ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกามีความปรารถนาที่จะเป็นผู้เสริมสร้างสันติภาพในโลกกว้าง และให้เป็นที่ยอมรับโดยชาวโลกซึ่งการจะนำมาได้ซึ่งสันติภาพและความ
สงบสุขนั้น ก็ต้องใช้วิธีการที่สันติ นั่นคือการเจรจาแบบการทูต ควบคู่ไปกับการสมานหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณีต่างๆ เช่น
1.การเรียกร้อง และบีบคั้นให้ฝ่ายยูเครน และรัสเซีย หันกลับสู่โต๊ะการเจรจาเพื่อยุติการสู้รบ โดยสหรัฐฯ และยูเครน ได้จัดทำข้อตกลงว่าด้วยการให้สัมปทานเหมืองแร่ของยูเครนต่อฝ่ายสหรัฐฯ เป็นการบำรุงขวัญฝ่ายยูเครน และในขณะเดียวกันก็จะเริ่มทยอยยกเลิกการคว่ำบาตรต่างๆ ต่อฝ่ายรัสเซีย เพื่อเป็นแรงจูงใจฝ่ายรัสเซียอีกด้วย
2.การเจรจาโดยตรงกับอิหร่าน เพื่อให้เกิดการยกเลิกโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตร และการปรามมิให้อิสราเอลโจมตีฐานทัพ และกิจการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมถึงการเปิดทางให้อิหร่านได้กลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก
3.การยกระดับ และกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับรอบอ่าวเปอร์เซีย ที่เป็นสมาชิกองค์การคณะมนตรีรัฐรอบอ่าวเปอร์เซีย (The Gulf Cooperation Council-GCC) ที่ประกอบด้วย ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อาหรับเอมิเรสต์ บาห์เรน คูเวต และโอมาน โดยฝ่ายสหรัฐฯ สัญญาว่าจะให้ความคุ้มครองและป้องกันความมั่นคงปลอดภัย พร้อมกับขายอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการทหาร และแลกเปลี่ยนการเพิ่มการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนั้นฝ่ายสหรัฐฯ ก็เรียกร้องให้ประเทศอาหรับดังกล่าว รวมทั้งประเทศซีเรีย นอกเหนือจากจอร์แดน และอียิปต์ ให้การรับรองความเป็นรัฐของอิสราเอล รวมทั้งเปิดความสัมพันธ์ทางการทูต เพื่อแลกกับการที่ฝ่ายอิสราเอล จะยอมเปิดทางให้มีการจัดตั้งประเทศปาเลสไตน์ ที่จะประกอบด้วยดินแดนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (The West Bank) และเขตฉนวนกาซา
4.ฝ่ายสหรัฐฯ และจีนก็ได้เปิดการเจรจาลดการขัดแย้งทางการค้าระหว่างกันแล้ว ซึ่งการเจรจามีขึ้นรอบแรกในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการลดความปั่นป่วน ตึงเครียดในเศรษฐกิจของโลกเป็นการทั่วไป และเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศเป็นการทั่วไปด้วย
5.ฝ่ายสหรัฐฯ ได้เปิดโต๊ะเจรจาเรื่องการค้าขายไปแล้วกับหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ แคนาดา และสหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ก็กำลังเตรียมตัว และทยอยกันมาพบปะเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งเป้าประสงค์ใหญ่ก็คือ การปรับดุลการค้าให้สมน้ำสมเนื้อระหว่างกันรวมทั้งการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่เป็นที่ยอมรับกันได้และมีความยุติธรรม
ในสภาพการณ์ดังกล่าวนี้เริ่มแรกก็อาจจะดูว่า ฝ่ายสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นด้วยการใช้ไม้แข็ง คือดำเนินการแบบฝ่ายเดียว (Unilateral) แบบไม่ปรึกษาหารือ หรือกล่าววอนให้มิตรประเทศ และคู่ค้าทั้งหลายทราบล่วงหน้า ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนอลหม่าน หวาดกลัว เสริมสร้างความไม่พึงพอใจ การแอนตี้ต่อกร และการฮึดสู้ ไปจนถึงการวิ่งหาตลาดและคู่ค้าใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดยในขณะเดียวกัน ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ได้ตั้งโต๊ะเจรจา และการเจรจาต่างๆ ก็ได้เริ่มขึ้นดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ฝ่ายสหรัฐฯ เองก็ต้องทบทวนตนเองด้วยว่า วิธีการแบบ “ฉันไปคนเดียว และฉันเป็นที่ตั้ง” นั้น เป็นการสมควรหรือไม่? จำเป็นหรือไม่? ควรจะมีการใช้วิธีการที่นุ่มนวล
กว่านี้หรือไม่?
ขณะเดียวกัน ประเทศต่างๆ ก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันมากยิ่งขึ้นเพื่อผนึกกำลัง และโน้มน้าวให้ฝ่ายสหรัฐฯ ใช้เวทีกลาง เช่น องค์การสหประชาชาติ และองค์การการค้าโลก เพื่อการปรึกษาหารือ และหาทางออกร่วมกันแบบสร้างสรรค์ และด้วยมิตรไมตรี มิใช่การจัดเวทีทวิภาคีแบบเวทีมวย ที่ดูจะไม่ค่อยจะแฟร์และเป็นมิตร เพราะประเทศส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจไปต่อรอง หรือพละกำลังพอที่จะต่อกรกับสหรัฐฯ แบบตัวต่อตัว
ฝ่ายสหรัฐฯ นั้นพร้อมไปด้วยแสนยานุภาพที่ไม่มีใครทัดเทียม และแข่งขันได้นั้น อยู่ในวิสัยที่จะเอาชนะใจชาวโลกด้วยความเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือ แทนที่จะมุ่งดำเนินการแบบบีบบังคับ หรือสั่งสอน อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี