กระบวนการต่อต้านคอร์รัปชันของประเทศไทยและทั่วโลกในปัจจุบันกำลังพยายามผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันผ่านการแจ้งเบาะแส สังเกตได้จากงานเสวนาในหัวข้อ Unmasking Corruption, Empowering Whistleblowers ที่จัดขึ้นโดย OECD เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567 ณ กรุงปารีส ที่ได้กล่าวถึงกลไกการแจ้งเบาะแสว่าเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน โดยการอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการมีกระบวนการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมการต่อต้านคอร์รัปชัน ประกอบกับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงกลไกการแจ้งเบาะแสและการปกปิดตัวตนผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับงานวิจัยของ Maslen C., (2023) ที่พบว่ากลไกการแจ้งเบาะแสเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการส่งเสริมการแจ้งเบาะแสและการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสด้วยการแจ้งแบบไม่ระบุตัวตน จะทำให้ผู้แจ้งเบาะแสมีความกล้าในการแจ้งเบาะแสและความมั่นใจในความปลอดภัยของตนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานหรือองค์การที่นำกลไกการแจ้งเบาะแสไปใช้งานจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่ดีในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานกลไกการแจ้งเบาะแสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการสร้างความเข้าใจกับบุคลากรเกี่ยวกับขั้นตอนการแจ้งเบาะแส การมีบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแสโดยเฉพาะ การสร้างแรงจูงใจในการแจ้งเบาะแส การปกป้องผู้แจ้งเบาะแส การอำนวยความสะดวก และการมีกระบวนการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสม
ดังเช่นกรณีตัวอย่างของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับคะแนนดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index: CPI) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งปี ٢٥٦٠ สะท้อนให้เห็นถึงการคอร์รัปชันที่ลดต่ำลงของเกาหลีใต้ เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมทำให้เกิดผลดังกล่าว จากบทสัมภาษณ์ เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีศึกษา โดย ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก (٢٥٦٨) พบว่า ประเทศเกาหลีใต้ เริ่มมีการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญตั้งแต่ปี ٢٥٥١ จากการควบรวม ٣ หน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชันคือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการอุทธรณ์หรือวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง แล้วก่อตั้งเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและคุ้มครองสิทธิพลเมืองสาธารณรัฐเกาหลี (Anti-corruption & Civil Rights Commission: ACRC) ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชัน ٥ ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือกฎหมายเกี่ยวกับการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสที่ได้รับการบัญญัติขึ้นในปี ٢٥٥٤ และต่อมาได้มีการจัดตั้งสำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งเกาหลีใต้ (Corruption Investigation Office for High-ranking Officials: CIO) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่กระทำโดยข้าราชการระดับสูงหรือสมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะในปี ٢٥٦٤ นอกจากนี้ มีการจัดทำเว็บไซต์ clean.go.kr ซึ่งมีฟังก์ชันในการรับแจ้งเบาะแสจากภาคประชาชน จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประเทศเกาหลีใต้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดการแจ้งเบาะแสอย่างมาก เนื่องจากการมีช่องทางการแจ้งเบาะแสที่สะดวกและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้แจ้งเบาะแสจากการมีกฎหมายเกี่ยวกับการปกป้องผู้แจ้งเบาะแส และมีหน่วยงานที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันทำให้ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าการแจ้งเบาะแสของตนจะถูกนำไปพิจารณาสืบสวน ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดได้
เมื่อกลับมาพิจารณาสถานการณ์ด้านกลไกการแจ้งเบาะแสของประเทศไทย ตามงานศึกษาของ ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ และคณะ (٢٥٦٠) พบว่า กฎหมายและแนวปฏิบัติของไทยในด้านการแจ้งเบาะแสมีประสิทธิภาพตามหลักนิติศาสตร์และได้รับการยอมรับตามเกณฑ์ในระดับสากลแล้ว แต่ในเชิงการปฏิบัติยังพบปัญหาของกระบวนการแจ้งเบาะแสในบางหน่วยงาน ซึ่งอาจเกิดจากมาตรการส่งเสริมการแจ้งเบาะแสที่ไม่เหมาะสมตามความต้องการของผู้แจ้งเบาะแสในด้านความมั่นใจที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอ สอดคล้องกับงานศึกษาของพิศอําไพ สมความคิด และรัชนี แมนเมธ (٢٥٥٧) ที่พบว่า ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสคอร์รัปชันโดยตรง แต่จะนำหลักการคุ้มครองพยานมาใช้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ٢٥٤٦ มาใช้โดยมีสํานักงานคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดูแล ขณะที่ประชาชนที่ต้องการได้รับความคุ้มครองยังต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคตั้งแต่ขั้นตอนการยื่นคําร้อง การพิจารณา และการยกเลิกคําร้องผู้แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน ขั้นตอนการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน หากเจ้าหน้าที่ซึ่งทําหน้าที่ในการคุ้มครองผู้เเจ้งเบาะเเสมีความสนิทสนมกับผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และปัญหาความล่าช้าในกระบวนการพิจารณา จึงมีผลให้การแจ้งเบาะแสผ่านหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยอาจยังไม่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับใช้งานกลไกการแจ้งเบาะแสอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความต้องการขับเคลื่อนกระบวนการแจ้งเบาะแสในการต่อต้านคอร์รัปชันของภาคประชาสังคม จึงก่อให้เกิดเครื่องมือการแจ้งเบาะแสที่ได้รับการพัฒนาโดยภาคประชาสังคม ตามข้อค้นพบเบื้องต้นในโครงการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมทางสังคมเพื่อส่งเสริมระบบนิเวศการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย คือ โครงการต้องแฉ (Must Share) Corruption Watch ฟ้องโกงด้วยแชตบอต และปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้มีช่องทางการแจ้งเบาะแสบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานในประเทศไทย ทำให้เกิดความสะดวกในการเข้าแจ้งเบาะแส อีกทั้ง ยังไม่มีการเปิดเผยตัวตนผู้แจ้งเบาะแส และยังมีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและติดตามการคอร์รัปชัน เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการแจ้งเบาะแสของประชาชนจะสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันและการลงโทษผู้กระทำความผิดได้
แม้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้ สถานการณ์การแจ้งเบาะแสของประเทศไทยอาจขาดความเชื่อมั่นของประชาชนในด้านความปลอดภัยของการแจ้งเบาะแสกับหน่วยงานภาครัฐ แต่การใช้งานเครื่องมือของภาคประชาสังคมที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผู้แจ้ง สามารถเป็นตัวกลางที่ดีระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน และทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนากลไกการแจ้งเบาะแสต่อไปได้ ทั้งนี้ ภาครัฐยังควรมีแนวทางในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งในด้านการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสและเผยแพร่ผลการตรวจสอบคอร์รัปชันเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสามารถนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้จริง ขณะที่ภาคประชาสังคมควรพัฒนาเครื่องมือการแจ้งเบาะแสให้เหมาะสมตามความต้องการของประชาชนเพื่อจูงใจให้มีการแจ้งเบาะแสเพิ่มขึ้น และภาคประชาชนซึ่งมีส่วนสำคัญในกลไกนี้ในฐานะผู้ให้ข้อมูล ควรมีส่วนร่วมและติดตามสถานการณ์คอร์รัปชันที่เกิดขึ้น และแจ้งข้อมูลเบาะแสส่อคอร์รัปชันที่พบไปยังเครื่องมือแจ้งเบาะแส จึงจะทำให้กลไกการแจ้งเบาะแสของประเทศไทยสามารถพัฒนาและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป
ที่มา :
ต่อภัสสร์ ยมนาค, สุภัจจา อังค์สุวรรณ, เจษฎา จงสิริจตุพร,ศุภชัย เสถียรหมั่น และธนากาญจน์ กันทอง. (٢٥٦٨). โครงการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมทางสังคม เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
พิศอําไพ สมความคิด และรัชนี แมนเมธ. (٢٥٥٧). มาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน. สถาบันพระปกเกล้า.
ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก. (٢٥٦٨). สู่สังคมโปร่งใส ตรวจสอบได้ เกาหลีใต้ทำอย่างไรให้การคอร์รัปชันลดลง. https://kraccorruption.com/what-we-do/krac-insight-สู่สังคมโปร่งใส-ตรวจส/
ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์, ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ, ณัชพล จิตติรัตน์ และ วิมพัทธ์ ราชประดิษฐ์. (٢٥٦٠). การศึกษาวิจัยประเมินประสิทธิภาพของผู้แจ้งเบาะแส. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
Maslen, C. (٢٠٢٣). Responses to common challenges encountered when establishing internal whistleblowing mechanisms. https://knowledgehub.transparency.org/
helpdesk/respo nses-to-common-challenges-encountered-when-establishing-internal-whistleblowing-mechanisms
Rubiano, C. (٢٠٢٤). OECD - Unmasking Corruption,Empowering Whistleblowers. https://public services.international/resources/news/oecd---unmasking-corruption-empowering-whistleblowers?id=١٤٩٦٠&lang=en
Transparency International. (2025). Corruption Perceptions Index. https://www.transparency.org /en/cpi/2024/index/kor
ศุภชัย เสถียรหมั่น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี