เหตุการณ์การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนและท้าทายมุมมองทางความคิดของผู้คนที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะการจุดกระแสของชุดความคิดที่ไหลเวียนผ่านแนวคิดแบบชาตินิยมที่เข้มข้น ได้ผลักดันให้เกิดสถานการณ์หลายอย่างที่นำไปสู่การสร้างภาพของความเป็นชาติให้เกิดขึ้น และหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ การแสดงความเห็นของผู้คนบนโลกออนไลน์ ที่ผลักดันให้เกิดการยกระดับความรุนแรงของสงครามบริเวณชายแดนที่มีข้อพิพาท รวมถึงการสร้างกระแสความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย และสนับสนุนให้มีการกระทำความรุนแรงขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อชาวกัมพูชาเหล่านั้น ซึ่งผลพวงจากปรากฏการณ์เหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นถึงกับดักของความคิดแบบชาตินิยมที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย และกลายเป็นการทำให้ “ความเป็นชาติ” ถูกยกขึ้นมาเพื่อกดทับ “ความเป็นคน” ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่แตกต่างไปจากเราและถูกมองว่าเป็นศัตรู ทั้งในเชิงกายภาพและเชิงความคิด
ในบทความ “สะใจเรา ลำบากเขา : เมื่อเราก้าวข้าม “ความเป็นชาติ” ไม่พ้น เลยขาด “ความเป็นคน” ในสงคราม” ผู้เขียนจึงอยากชวนทุกท่านมาสำรวจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และย้อนกลับมาทบทวนมโนทัศน์ของการมองสิ่งที่เกิดขึ้น โดยให้ความสำคัญกับ “ความเป็นคน” มากกว่า “ความเป็นชาติ” ในสภาวะที่เปราะบางเหล่านี้
สภาวะ “สะใจเรา” ที่ความเห็นบนโลกออนไลน์ กลายเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างสงคราม
ในปัจจุบันที่พื้นที่บนโลกออนไลน์ ได้กลายเป็นสนามของการแสดงออกทางความคิดและอารมณ์ของผู้คนได้อย่างไร้ขอบเขตและไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นทั้งความเห็นหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในทางบวกหรือลบ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของการแสดงความเห็นของผู้คนจำนวนมากต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ความเห็นของสังคมด้านหนึ่ง คือ การให้กำลังใจทหารที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ หรือการแสดงความรู้สึกห่วงใยต่อผู้อพยพที่ต้องลี้ภัยจากสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวเป็นการชั่วคราว แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความคิดเห็นในจำพวกที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย ดูถูกเหยียดหยาม และการแสดงความเกลียดชังที่พุ่งตรงไปยังชาวกัมพูชาในลักษณะเหมารวมตัวอย่างเช่น “ใครเจอคนเขมรก็ไล่ตีเลย” หรือ “ถล่มยิงพวกมันให้หมด” สิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงชุดความคิดแบบ“พวกเรา-พวกเขา” ที่ยึดโยงอยู่กับความเป็นชาตินิยมอย่างเข้มข้นและถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาผ่านกลไกของโลกออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้แสดงความเห็นต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำให้พื้นที่ออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการสร้าง “อาวุธทางความคิด” ที่ปลุกระดมและเร้าอารมณ์ของผู้คนให้สนใจในความเป็นชาติได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งความเห็นที่เต็มไปด้วยความเกลียดที่เกิดขึ้นในลักษณะทำนองเดียว เมื่อเกิดการรวมหมู่กันของความคิดที่มากเพียงพอ ก็จะสามารถถูกหยิบไปใช้ในการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นในสังคม และลดทอนความเป็นมนุษย์ของกลุ่มคนที่พวกเขามองว่าเป็นศัตรูของชาติได้อย่างไร้ความปรานี
ผลลัพธ์แบบ “ลำบากเขา” ที่จะกลายเป็น “ลำบากเรา” ในอนาคต
การแสดงออกถึงความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายหนึ่งที่เรามองว่าไม่ใช่พวกของเรา ทั้งในเชิงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ทั้งทางวาจาและทางกาย รวมถึงการส่งต่อชุดความคิดที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนที่ไม่ใช่พวกเราให้แพร่หลายไปในสังคม นอกจากที่จะก่อให้เกิดเป็นผลลัพธ์แบบ “ลำบากเขา” ที่ทำให้ชาวกัมพูชาซึ่งทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยเกิดความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา หรืออาจเกิดการถูกเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากคนในสังคม เพียงเพราะเหตุผลที่เกิดจากที่พวกเขามีสัญชาติเป็นชาวกัมพูชา ยังก่อให้เกิดผลลัพธ์สืบเนื่องตามมาที่เราหลายคนอาจมองข้ามหรือคาดไม่ถึง คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ที่จะกลายเป็นความ “ลำบากเรา” ในอนาคตได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศกัมพูชา เมียนมา และลาว ที่ถือเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคแรงงานที่ถูกเรียกว่าเป็น “3D Jobs” ซึ่งย่อมาจาก Dirty, Dangerous, and Difficult jobs เช่น แรงงานในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมโรงงาน และอุตสาหกรรมภาคเกษตร เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยในแต่ละปีนั้นยังขาดแคลนแรงงานในลักษณะดังกล่าวนี้อยู่เป็นจำนวนมาก และนายจ้างหรือผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยของไทยต่างๆ ยังต้องพึ่งพาแรงงานเหล่านี้ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างราบรื่น และเป็นฐานรากที่สำคัญของการพัฒนาทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากเหตุการณ์ความขัดแย้งของไทย-กัมพูชา ส่งผลให้จำนวนแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมต่างๆ เหล่านี้รู้สึกไม่ปลอดภัยและเดินทางกลับประเทศ จำนวนของแรงงานที่ลดน้อยลงหรือหายไป ก็จะเกิดเป็นผลกระทบที่รุนแรงตามมาและตกอยู่ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจและบริการของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงออกซึ่งความมีอคติและการเหยียดเชื้อชาติของผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการเหมาร่วม ยังบั่นทอนความมั่นคงและเข้มแข็งของภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาของประชาคมโลก ที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกันของผู้คน และที่สำคัญยังเป็นการบ่อนทำลายความเข้มแข็งของความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่ไทยมีกับประเทศเพื่อนบ้าน และลดทอนศักยภาพของภูมิภาคในการเจรจาหรือแข่งขันกับภูมิภาคอื่นในอนาคตด้วยเช่นกัน
ตั้งคำถามกับ “ความเป็นชาติ” เพื่อให้ไม่ขาด “ความเป็นคน”
สุดท้ายนี้ จากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผู้เขียนจึงอยากชวนทุกท่านลองถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว และตั้งคำถามกับสถานการณ์ในปัจจุบันของสังคมไทยที่เรากำลังปล่อยให้ “ความเป็นชาติ” ที่เราภาคภูมิใจนั้น ค่อยๆ กลืนกิน “ความเป็นคน” ของเราไปจนหมดสิ้นแล้วหรือไม่ และท่ามกลางกระแสของความคิดเห็นที่เอนเอียงไปสนับสนุนความเป็นชาติอันสุดโต่งนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะท้าทายและกล้าหาญที่จะยึดมั่นและเชื่อในความเป็นคนมากกว่าความเป็นชาติเหล่านั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าในทุกสงครามนั้น ความสูญเสียย่อมตกอยู่กับ “คน” ที่อยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ใช่ตกอยู่กับ “ชาติ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเลือดเนื้อและชีวิตแต่อย่างใด
เจษฎา จงสิริจตุพร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี