ประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ คนรวย คนมีรายได้ดี มีสถานะทางสังคมดีและมีโอกาสดี กระจุกอยู่เฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ยังยากจน รายได้น้อย สถานะทางสังคมต่ำกว่ามาก และโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ก็น้อยกว่ามาก
ถ้าปล่อยปัญหานี้ต่อไป สังคมไทยจะมีปัญหาตามมา และจะเกิดความขัดแย้งอย่างไม่สิ้นสุด
แต่การช่วยคนจน จะต้องแยกให้ชัดว่า เป็นการพัฒนาโอกาส และระบบให้คนจนสามารถช่วยตนเองได้ในระยะยาว หรือเป็นการช่วยเพียงบรรเทาทุกข์ ด้วยการแจก การให้ ตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ที่คนในสังคมไทยเชื่อว่าตนเองจะก้าวหน้า ประสบความสำเร็จได้ ต้องพึ่งพาผู้อุปถัมภ์ หรือนายที่คอยดูแล คุ้มครอง ระบบเส้นสาย บุญคุณ จึงคงอยู่อย่างไม่รู้จบ
รัฐบาลประยุทธ์กับการช่วยคนจน : จริงใจ หรือซ่อนเร้น?
รัฐบาลประยุทธ์ได้ออกมาตรการช่วงปลายปี 2561 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่เพียง 2-3 เดือน ที่จะใช้เงินภาษีของประชาชนไปแจก ไปให้แก่คนจน หลายประการ
1. ให้ค่าใช้จ่ายปลายปี (เงินปีใหม่) คนละ 500 บาท
2. ให้ค่าน้ำ 100 บาท ค่าไฟฟ้า 230 บาท ต่อครัวเรือนต่อเดือน
3. ให้ค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุ 400 บาทต่อครัวเรือน
4. ให้ค่าเดินทางไปพบแพทย์ 1,000 บาทต่อคน สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
5. แจกเงินชาวสวนยาง ไร่ละ 1800 บาท คนละไม่เกิน 15 ไร่
ชาวบ้านที่ยากจน ที่ได้รับการแจก การให้ จาก “นาย” ย่อมพอใจ เพราะได้เงินบรรเทาทุกข์ เหมือนยาแก้ปวดที่มีคนนำมาให้กินบรรเทาการปวดลงได้
แต่อาการของโรคไม่ได้หายขาด เป็นเพียงระงับอาการ และคนไข้ก็จะติดยาแก้ปวด จะต้องให้ยาแก้ปวดตลอดไป โดยที่ไม่ได้รักษาที่อาการ
เช่นเดียวกัน การแจกเงินก็จะทำให้ “คนจน” พอใจ และก็ติดใจ อยากจะให้ “นาย” คอยให้ คอยดูแล โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ของฟรีไม่มีในโลก “นาย” ได้ผูกปมซ่อนเร้นที่จะได้ประโยชน์จาก “คนจน” ด้วยความนิยมและคะแนนเสียงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ในอนาคต
ที่เลวร้าย โครงการและวิธีการนี้เป็นการตอกย้ำ และผูกระบบอุปถัมภ์ให้คงอยู่กับสังคมไทยอย่างแนบแน่นต่อไป
เรามักจะอ้างและท่องจำพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราที่พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 (20 ปีที่แล้ว) ได้ว่า
“เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลา และสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า”
แต่น่าเสียดาย ผู้มีอำนาจรู้และจำได้ แต่มักจะอ้างพระราชดำรัสไว้เพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตนอยากทำอยากได้ประโยชน์ แต่ที่ไม่ตรงกับความอยาก ไม่ตรงกับผลประโยชน์ของตน ก็ลืมที่จะนึกถึง
มีโอกาสได้ไปนมัสการ พูดคุยกับพระอาจารย์ที่จังหวัดอุบลราชธานีท่านหนึ่ง พบว่า ท่านรู้ทันรัฐบาลประยุทธ์ ถึงได้แต่งกลอน
“ให้ไพร่ฟ้า หน้าชื่น สี่หมื่นล้าน
ยุทธการ อัฐยาย เริ่มขายซื้อ
ทั้งโปรยทาน หวานฉ่ำ เสียงร่ำลือ
ในฝีมือ คือศักดา ประชานิยม”
ถ้าติดตั้งโซลาร์ให้โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ ประหยัดค่าไฟเดือนละ 600,000,000 ล้าน หรือปีละ 7,200,000,000 ล้านบาท ตลอดโครงการ 25 ปี ประหยัดค่าไฟได้ 180,000,000,000 บาท ช่วยเหลือได้ทั้งคนจนคนรวยทั้งประเทศยามเจ็บไข้ได้ป่วย เอวัง” - (พระครูวิมลปัญญาคุณ ศรีแสงธรรม)
ระบบสวัสดิการ ต่างกับประชานิยม?
ถ้าพูดอย่างง่ายๆ
ประชานิยม ก็คือ โครงการที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์พอใจ นั่นก็คือการให้ เป็นการตอกย้ำ ว่า “นาย” คือผู้มีบุญ มีอำนาจ มีทรัพยากรมาก คนจะต้องคอยพึ่งพา เอาใจ ทำอะไรให้นายพอใจ
จะสังเกตลักษณะโครงการ จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนาย ว่านายจะให้อะไร ให้เท่าไหร่ ให้เมื่อไหร่ จะหยุดให้ หรือให้ต่อไปก็ได้
น่าสังเกตว่า โครงการของรัฐบาลประยุทธ์ครั้งนี้ ตรงกับข้อสังเกตข้างต้นทั้งหมด โดยเฉพาะเป็นโครงการที่ให้ก่อนเลือกตั้ง 2-3 เดือน และจะหยุดการให้ใน 10 เดือน ซึ่งมีนัยว่า หากอยู่กับ “นาย” คนนี้ หรือให้ “นาย” ชุดนี้ อยู่ในอำนาจ ก็อาจได้รับการให้และอุปถัมภ์ต่อไป
ระบบสวัสดิการ คือ โครงการที่ก่อร่างสร้างเป็นระบบ มีกำหนดกฎเกณฑ์รองรับ ไม่ขึ้นอยู่กับใจของผู้มีอำนาจว่าจะให้ ไม่ให้ ให้น้อย ให้มาก หรือหยุดให้ได้ง่ายๆ มีที่มาที่ไปของทรัพยากรหรือเงินงบประมาณที่นำมาใช้เป็นระบบที่คนหมู่มากมีส่วนร่วม ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับบุคคล ไม่ผูกบุญคุณกับตัวบุคคล และที่สำคัญ จะมีแนวคิดในการพัฒนาให้ระบบอยู่ยั่งยืนและจะให้ดียิ่งขึ้นต้องให้ “คนจน” ได้ช่วยตัวเองในระยะยาว
ทหาร กับระบบอุปถัมภ์
ทหารอยู่ในสังคมระบบอุปถัมภ์ เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดและแข็งแกร่งมายาวนาน
ลูกน้องต้องหวังพึ่งนาย ต้องฟังนาย ต้องสนับสนุนนายให้มีอำนาจ จะได้คอยคุ้มครองช่วยเหลือกันต่อไปในภายหน้า
นายก็ใช้ลูกน้องเป็นฐานอำนาจ คอยทำกิจการและรับใช้ตามคำสั่งนาย และคอยคุ้มครองดูแลลูกน้อง
ทหารจึงคุ้นเคยและคุ้นชินกับระบบอุปถัมภ์อยู่ในสายเลือด ซึ่งก็มีข้อดี เพราะทหารต้องคุมคน คุมลูกน้อง ผู้ใต้การ “บังคับ” และ “บัญชา”
เราจึงได้พบเห็นว่า ถ้านายคนไหนได้ยศ ได้ตำแหน่งในกองทัพ ลูกน้องในสายการอุปถัมภ์ก็จะผงาดขึ้นทั้งแผง แต่ถ้านายตกต่ำลง ลูกน้องก็จะตกต่ำลงทั้งกลุ่มทั้งแผง
จึงไม่แปลก เมื่อมีผู้คิดโครงการใช้เงินหลวง เงินภาษีประชาชนมาอุปถัมภ์ ลดแลกแจกแถมให้กับ “คนจน” เพื่อหวังจะได้ใจ ได้บุญคุณ ได้ความหวังจาก “คนจน” จึงเห็นดีเห็นงาม โดยละทิ้งอุดมการณ์ “ให้เบ็ดตกปลา ดีกว่าแจกปลาให้กิน”
เคยรู้ทันระบอบทักษิณ เคยเห็นพิษภัยของโครงการประชานิยม จดทะเบียนคนจน และการสร้างระบบอุปถัมภ์ ให้ตัวผู้นำเป็น “ผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของแผ่นดิน” จนเคยออกมาเตือนว่า “เราจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป” มาแล้ว
บัดนี้ เรากำลังจะได้กลุ่มทหารการเมือง คุ้นเคยวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ที่มีแนวคิดทุนสามานย์ชุดเก่าหนุนอยู่เบื้องหลัง สร้างและขับเคลื่อนการเมือง การเลือกตั้งของประเทศ โดยใช้เงินหลวง เงินภาษีออกใช้หว่านเพื่อคะแนนนิยม
โอกาสหน้าจะได้พูดถึงพรรคทหาร กับกลุ่มอุปถัมภ์ หัวหน้ามุ้ง หัวหน้าก๊วนในพรรคการเมือง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี