อุตสาหกรรมยาสูบมีกำเนิดในไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา มีอายุประมาณ 150 ปี เริ่มจากการนำเข้าบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบจากยุโรปและอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นบุหรี่ซิกาแรต, ยาเคี้ยว, ยาเส้นมวนเองบรรจุกระป๋อง, ซิการ์ที่มาจากเนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, เยอรมนี, ตุรกี, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, จีน, อินเดีย, คิวบา และมาเลเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 6 กระทรวงการคลังของไทย ได้อนุมัติให้ภาคเอกชนเข้ามาตั้งโรงงานผลิตบุหรี่ประเภทต่างๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบ
จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2482 รัฐบาลในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เห็นว่ากิจการยาสูบเป็นกิจการที่น่าจะทำรายได้เข้ารัฐเป็นจำนวนมากจึงออกพ.ร.บ.โอนกิจการอุตสาหกรรมผลิตบุหรี่ซิกาแรตมาเป็นของรัฐด้วยการตั้งโรงงานยาสูบกระทรวงการคลังเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง ในวันดังกล่าวปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ตามพระราชบัญญัติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561
วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ครม.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย รวม 9 คน มี นายระเฑียร ศรีมงคล เป็นประธานกรรมการ และตั้ง น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ เป็นผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทยคนแรก ปัจจุบันได้ใช้ที่ตั้งโรงงานยาสูบที่ถนนพระรามสี่ เขตคลองเตย เป็นที่ตั้งของการยาสูบฯและย้ายโรงงานผลิตบุหรี่ซิกาแรตไปอยู่ที่บริษัทอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด ตำบลอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
80 ปีที่ผ่านมาการยาสูบฯมีรายได้ที่ดีและมีกำไรทุกปีแต่ปัจจุบันสถานะของการยาสูบฯรวมไปถึงอุตสาหกรรมยาสูบทั้งระบบใกล้จะล่มสลายโดยเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา สมาคมการค้ายาสูบไทย โดย นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผอ.บริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย เผยว่าอุตสาหกรรมยาสูบทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำกำลังซวนเซใกล้จะทรุดถึงขั้นล่มสลายเพราะนโยบายของรัฐบาลที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นแกนร่วมกับเอ็นจีโอที่มาจากนายแพทย์กลุ่มหนึ่งกับกระทรวงการคลังเป็นเวลานานมามากกว่ากึ่งศตวรรษ บุหรี่และยาสูบตกเป็นจำเลยว่าก่อให้เกิดโรคร้ายแรงทำให้ประชากรไทยตายเป็นอันดับหนึ่งจากโรคมะเร็งในปอดกับโรคถุงลมโป่งพองปีละมากกว่า 6 หมื่นคน มาเป็นเวลานาน
ซึ่งผลการวิจัยทางการแพทย์ได้ระบุว่าบุหรี่และยาสูบมีส่วนสำคัญจริงแต่การบริโภคบุหรี่ในปัจจุบันมีทางเลือกลดอันตรายถึงตายของยาสูบด้วยการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้สารนิโคตินกลั่นเป็นน้ำกับการใช้ไปป์สูบบุหรี่แต่ในไทยเอ็นจีโอโจมตีว่าไม่ช่วยทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความจริงมีการออกกฎหมายห้ามจำหน่ายอุปกรณ์ลดอันตรายจากบุหรี่ที่ผิดข้อเท็จจริง เอ็นจีโอเสนอรัฐให้ลดอันตรายด้วยวิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าด้วยการปรับภาษีบุหรี่ก้นกรองมาตรฐานจากเดิมเคยจำหน่ายซองละ6 บาท บรรจุ 20 มวน ราคาเฉลี่ยมวนละ 30 สตางค์ เพิ่มขึ้นเป็นซองละ 7, 8, 10, 12, 15, 20, 30, 40, 60 บาท จนถึง 120 บาทในเวลา 50 ปี เท่ากับเพิ่มร้อยละ 1,900 เท่า เพื่อทำให้บุหรี่ขายไม่ได้และต้องปิดกิจการผลิตและจำหน่ายบุหรี่ซิกาแรตไปในที่สุด
นางวราภรณ์เผยว่า สมาคมร่วมกับนิด้าโพลจัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของร้านค้าปลีก 1,056 ราย ทั่วประเทศ เกี่ยวกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของรัฐบาลพบว่า ร้านค้าปลีกร้อยละ 81 ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีบุหรี่ของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีบุหรี่หนีภาษีระบาดเป็นจำนวนมากเพราะการขึ้นภาษีบุหรี่ทำให้บุหรี่หนีภาษีระบาดมากขึ้น
ผลกระทบของการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบเมื่อเดือนกันยายน 2560 พบว่าร้านค้าคัดค้านการขึ้นภาษีบุหรี่อีกร้อยละ 40 ในเดือนตุลาคม ปี 2562 เพราะยังได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบการขึ้นภาษีครั้งล่าสุดคือตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2560 อย่างหนักมากร้านค้าเผชิญกับสภาพการค้าขายที่ยังฝืดเคือง ตลาดบุหรี่ทั้งบุหรี่ของการยาสูบและบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศหดตัวลง ร้อยละ 22 และยังต้องค้าขายแข่งกับบุหรี่หนีภาษีและยาเส้นมวนเองที่มีราคาแตกต่างกันมาก นโยบายของรัฐบาลได้ขึ้นภาษีบุหรี่ติดๆกันโดยหวังว่าจะช่วยลดจำนวนผู้สูบที่มีจำนวนประมาณ 12 ล้านคน แต่จริงๆ ผู้สูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดแต่ผู้สูบเปลี่ยนไปซื้อสินค้าที่ถูกกว่าอย่างยาเส้นหรือบุหรี่หนีภาษีจากต่างประเทศ
ส่วนนายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบจังหวัดเพชรบูรณ์ และผู้แทนภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย ได้กล่าวในการประชุมนำเสนอความเดือดร้อนในอุตสาหกรรมยาสูบจากอัตราภาษีสรรพสามิต ที่มีตัวแทนพรรคการเมือง 6 พรรค จากพรรคเพื่อไทย, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา, เสรีรวมไทย, พลังท้องถิ่นไท มารับฟังปัญหาที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กทม.เมื่อเช้าวันที่ 14 มีนาคม ปัจจุบันไทยมีเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจากภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 หมื่นครอบครัว ประมาณ 2 แสนคน ใน 22 จังหวัดกำลังเดือดร้อนและความวิตกกังวลอาชีพการทำไร่ยาสูบที่เคยทำรายได้เลี้ยงครอบครัวมาถึง 100 ปี นับตั้งแต่ยุคบริษัทบริติชอเมริกันโทแบ็คโก เมื่อปี2460
การที่ภาษีสรรพสามิตขึ้นทุกๆ ปีเป็นสาเหตุให้การยาสูบต้องลดโควตารับซื้อใบยาและต้องเลิกปลูกยาสูบ ชาวไร่ได้ยื่นหนังสือผ่านหลายหน่วยงานทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอให้รัฐบาลประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่ร้อยละ 40 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 นี้ ออกไปก่อนแต่ไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ ซึ่งตัวแทนพรรคการเมืองที่เข้ารับฟังปัญหาของชาวไร่และอุตสาหกรรมยาสูบได้แจ้งว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือและจะช่วยสะท้อนปัญหาไปยังรัฐบาลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจแก้ไขปัญหาอยู่ในขณะนี้แต่รัฐบาลจะยอมรับฟังหรือจะตามใจเอ็นจีโอจนอุตสาหกรรมยาสูบไทยต้องล่มสลายไปในที่สุดพร้อมกับรายได้จากภาษีก็จะมลายหายไปด้วยอย่างน่าเสียดาย
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี