ในที่สุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมเมื่อวานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 :0 รับคำร้องของ 36 สว.ที่เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอน“แพทองธาร ชินวัตร”ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณี“คลิปอัปยศ”สนทนากับ“ฮุนเซน” พร้อมทั้งสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ด้วยมติ7 : 2 ซึ่งเสียงข้างน้อย 2 คน ก็คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอุดมสิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในส่วนของคำวินิจฉัย ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้“แพทองธาร ชินวัตร”หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น “แพทองธาร”จะใช้“วิชามาร”เลี่ยงบาลีนั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีต่อไป ด้วยการอาศัยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่เพิ่งมีพระบรมราชการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 30มิถุนายนที่ผ่านมา และถ้าหากจะดันทุรังเช่นนี้ ก็เชื่อว่าจะต้องมีการถูกร้องซ้ำในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีก เพราะ“แพทองธาร”มีปัญหาเรื่อง“ขาดความซื่อสัตย์” และ“ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ตามคำร้องของ 36 สว.ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้วินิจฉัย
ทั้งนี้ ในคำร้องของ 36 สว. ที่นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐวุฒิสภา ซึ่งได้เข้าชื่อยื่นผ่านนายมงคลสุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ถูกร้อง กับ“ฮุน เซน”ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 นั้น ผู้ถูกร้องคื“แพทองธาร”แถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับ‘ฮุนเซน’จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมา ว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม
ในคำร้องของ 36 สว.บรรยายว่า แต่ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตาม หรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
โดยผู้ร้องเห็นว่า “แพทองธาร ชินวัตร”มีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับ“ฮุนเซน” ในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ซึ่งผู้ร้องได้อ้างอิงบทสนทนาระหว่าง“แพทองธาร” กับ“ฮุน เซน” จาก“คลิปอัปยศ”ประกอบคำร้อง รวม 4 ตอน ได้แก่
“ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาค2 อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”
“เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ”
“บอกว่าจริงๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”
“จริงๆ แล้วท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งค์แค่2คน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่ (พี่คือล่ามที่ชื่อ“ฮวด”) มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊งค์2 คน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว"
คำร้องของ 36 สว. ระบุว่า แม้“แพทองธาร ชินวัตร”จะพยายามแถลงข่าวแก้ตัวว่า เป็นเพราะทราบข้อมูลจากล่ามที่ชื่อ“ฮวด”ว่า “ฮุน เซน” โกรธ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 จึงพยายามทำความเข้าใจ ซึ่งเป็นการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยเธอเห็นว่าไม่ควรนำมาเปิดเผย และย้ำว่าการพูดคุยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทย ทำให้ต้องคุยด้วยความนุ่มนวล แต่ สว.ผู้ร้องเห็นว่า“ฟังไม่ขึ้น” เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียง ผู้ถูกร้องย่อมพยายามที่จะต้องหาข้อแก้ตัว และจะแก้ตัวอย่างไรก็ได้
นอกจากนี้ สว.ผู้ร้องยังบรรยายไว้ในคำร้องว่า หาก“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ถูกร้อง มีเจตนาในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยจริง สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการ และมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว
อีกทั้ง ตามคำร้องของ 36 สว.ได้ชี้ว่า “แพทองธาร ชินวัตร”ยังเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหาร หรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า“uncle” และเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า“ฝั่งตรงข้าม”
สำคัญที่สุด ที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำร้อง ก็คือ นับตั้งแต่หลังเกิดเหตุ“ทหารไทย-กัมพูชา”ปะทะกันที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28พฤษภาคม 2568 ซึ่งนำมาสู่ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในหลายกรณี แต่นายกรัฐมนตรีของไทย กลับ“ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว-นิ่งเฉย-ไม่กำหนดมาตรการใดให้มีความชัดเจน”
ในประเด็นที่ว่านั้น ในคำร้องของ 36 สว.ยกตัวอย่างประกอบว่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีการต่อต้านสินค้าและภาพยนตร์ไทย, การตัดอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากประเทศไทย, การยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ศาลโลก) และการถูกสื่อมวลชนตั้งคำถามในทำนองว่าทางกัมพูชาได้มีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว 200 เมตร รวมทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน เพื่อให้ผู้ถูกร้องชี้แจง แต่ผู้ถูกร้องกลับโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้
ผู้ร้องชี้ต่อไปว่า ด้วยท่าทีดังกล่าวของ“แพทองธาร ชินวัตร” เป็นผลทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยว่า เหตุใดนายกรัฐมนตรีไทยจึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉย และไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศพึงกระทำ
36 สว.ผู้ร้องได้ขมวดปมว่า เมื่อ“ฮุนเซน”นำคลิปเสียงสนทนามาเผยแพร่ จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้เข้าใจว่า “แพทองธารชินวัตร”นายกรัฐมนตรีของไทย ผู้ถูกกล่าวหา “นิ่งเฉย”เพราะเหตุแห่ง“ความสัมพันธ์ส่วนตัว”นั่นเอง
จากพฤติการณ์และความผิดทั้งหมด สว.ผู้ร้องถือว่า“แพทองธาร ชินวัตร” ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และผู้ร้องยังระบุด้วยว่า “อาจกล่าวได้ถึงขนาดว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” จึงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของ 36 สว.ไว้พิจารณาวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว ก็จะแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องรับทราบ และให้“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15วัน โดยคาดว่าการวินิจฉัยชี้ขาดไม่น่าจะนานเกิน 3เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้น หากดูจากกรณี“เศรษฐา ทวีสิน”ที่ใช้เวลา 3เดือน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ด้วยมติ 6 :3 และมีมติให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 5 : 4 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567
เมื่อดูรูปการณ์แล้ว ตอกฝาโลงได้เลย ว่า“แพทองธาร ชินวัตร”จะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับ“เศรษฐาทวีสิน” และก็เพราะ“คลิปอัปยศ”โดยแท้ จึงทำให้“แพทองธาร ชินวัตร”คุณหนูนายน้อยแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ต้องมาพบกับจุดจบบนเส้นทางแห่งอำนาจที่“บิดาจัดให้” จัดให้โดยที่“บุตรสาว”ไม่มีความพร้อมด้วยประการทั้งปวง ทั้งขาดภาวะผู้นำ ไร้สติปัญญา ขาดความรู้ความสามารถ และอ่อนด้อยประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน
มิหนำซ้ำจุดจบของ“แพทองธาร ชินวัตร”ก็ยังจะสยดสยองยิ่งกว่า“เศรษฐา ทวีสิน” เพราะถึงแม้ว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมตรีในเวลาอันใกล้นี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา“หมวด3” มัดคออยู่อีกหนึ่งคดี-คือ“ทรยศขายชาติ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี