ผมกำลังลุ้นอยู่ว่า ใครจะมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ เพราะกระทรวงนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นอันดับ 1 ว่าจะนำพาการศึกษาไทยไปทางไหน อย่างไร???
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงข้อเสนอโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา เมื่อ 8-9 มิถุนายน ที่ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ โรงแรมเซนทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. มีเรื่องน่าสนใจที่ท่านผู้รู้ถ่ายทอดให้ผมฟัง ว่าในหลายประเทศตื่นตัวและให้ความสำคัญในกลุ่มเด็กปฐมวัยและเด็กขาดโอกาสกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) จึงดำเนินโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ในพื้นที่ 20 จังหวัด
การประชุมหนนี้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. อธิบายว่า กสศ.พร้อมด้วย 20 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครนายก ยะลา สุราษฎร์ธานี ลำปาง น่าน แพร่ อำนาจเจริญ สุรินทร์ ภูเก็ต พิษณุโลก สุโขทัย อุบลราชธานี ระยอง กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน มหาสารคาม นครราชสีมา และสงขลา ร่วมมือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยใช้บริบทของแต่ละพื้นที่เป็นตัวตั้ง มุ่งไปที่ 2 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ เด็กปฐมวัยและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยทุกๆ ปี มีเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 3-6 ปี ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ราว 250,000 คน หรือ ร้อยละ 10 เฉลี่ยประมาณจังหวัดละ 3,200 คน ขณะที่เด็กนอกระบบการศึกษาอายุ 3-17 ปี มีจำนวน 592,396 คน
สำหรับการทำงานเน้น 3 ด้านสำคัญ คือ 1.สร้างกลไกบูรณาการของจังหวัด เน้นร่วมมือกับหน่วยงานเดิมที่มีบทบาทในพื้นที่ ทำงานไม่ซ้ำซ้อนกัน 2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาผ่านการสำรวจค้นหากลุ่มเป้าหมายจริง ทำให้การช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายมีความน่าเชื่อถือและแม่นยำ และ 3.การสร้างตัวแบบการช่วยเหลือเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาตามบริบทของพื้นที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กปฐมวัยและเด็กนอกระบบ
ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ.กล่าวว่า ที่ผ่านมา เรารู้เพียงชื่อของเด็กกลุ่มนี้ จากการนำฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยหักลบกับฐานข้อมูลเด็กในโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เรายังไม่ทราบว่าเด็กอยู่ที่ไหน รูรั่วของระบบข้อมูลอีกจุดอยู่ในช่วงที่เด็กอายุ 24 เดือนขึ้นไป จากนี้ทั้ง 20 จังหวัดต้นแบบที่ร่วมโครงการจะสร้างทีม ค้นหาเด็กอายุ ตั้งแต่ 2-21 ปี ที่หลุดจากระบบการศึกษา ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาตามความพร้อมและศักยภาพได้
นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก 1 ใน 20 จังหวัดต้นแบบการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า จากข้อมูลของจังหวัดนครนายก พบว่า เด็กร้อยละ 30 เป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หมายความว่า เด็ก 24,000 คน มีจำนวน 8,800 คน ที่มีปัญหา เช่น พ่อแม่เสียชีวิต ครอบครัวหย่าร้าง มีฐานะยากจน หรือถูกคุกคามทางเพศ เรายังพบปัญหาเด็กเข้าสู่วงจรยาเสพติด เด็กเดินยาจาก 9 ขวบ เหลือเพียง 6 ขวบ และคุณแม่วัยใสที่อายุน้อยสุดคือ 13 ปี ดังนั้นโครงการนี้ถือเป็นการทำงานเชิงรุกของจังหวัด ต้องปรับโครงสร้างให้เกิดกลไกร่วมมือในการขจัดปัญหา และพัฒนาศูนย์ข้อมูลชุดเดียวที่ทุกหน่วยงานจะมาใช้ร่วมกันเพื่อเข้าถึง ช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ให้ได้ทันท่วงทีและตรงความต้องการ การพัฒนาจังหวัดให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ต้องมีรากฐานการพัฒนาคนที่เข้มแข็ง เราจึงไม่ควรทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว ถือว่าโครงการนี้ทำให้ทั้งจังหวัดเอาหัวใจมากองรวมกัน เพราะถ้าเราเอาใจมากองรวมกันได้ก็เชื่อว่างานจะสำเร็จได้
ด้าน นายไกรศักดิ์ วรทัต ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ดและอดีตปลัด อบจ.สุรินทร์ กล่าวว่า ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องอัพเดทและเป็นเรียลไทม์ เรามีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาทุกวัน แม้สถานศึกษาจะจำหน่ายชื่อเด็กออกได้เมื่ออายุ 15 ปี แต่เด็กหลุดออกมาก่อนแล้วในความเป็นจริง เด็กออกจากโรงเรียนมากที่สุดในช่วง ม.2 จากประสบการณ์พบว่า กลไกในพื้นที่จะเข้าถึงและติดตาม ค้นหาเด็กได้ดีที่สุด โดยเฉพาะความร่วมมือจาก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเก็บข้อมูลและประสานกับ กศน. ศูนย์ฝึกอาชีพเพื่อส่งเด็กกลับเข้ารับการศึกษา พัฒนาอาชีพตอบความต้องการของเด็กให้มากที่สุดต่อไปเมื่อสามารถค้นพบเด็กและเข้าช่วยเหลือตั้งแต่ระดับตำบลปัญหาภาพรวมในระดับจังหวัดจึงยิ่งลดลง พร้อมขยายภาคีความร่วมมือกับเอกชน ภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐทุกระดับ จะทำให้เกิดกลไกการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ผมเขียนไว้แต่ตอนต้นว่ากำลังลุ้นอยู่ใครจะมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ เพื่อจะได้นำข้อมูลนี้ไปเขียนไว้ในนโยบายในส่วนการศึกษาให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไว้แถลงต่อสภาครับ เพื่อหาทางและเติมเต็มในการช่วยให้เด็กปฐมวัย เด็กด้อยโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี