มวยดังที่กระฉ่อนชื่ออยู่ในโลกปัจจุบัน น่าจะมีไม่กี่ชนิด ทุกชนิดล้วนมี “อาวุธยอดอันตราย มีจุดอันตรายที่จะเล่นงานคู่ต่อสู้ถึงขั้นหมอบได้”

แต่ไม่ว่า “มวยสากลปนสาเก มวยกังฟูพันตูกับมวยปล้ำ มวยคาราเต้ปะทะกับเทควันโด” ทั้งหมดไม่น่าจะมี “อันตราย” และ “จุดตาย” มากมายเท่ากับ “มวยไทย” โดยเฉพาะ “มวยไทยระดับแม่ไม้ท่าครู” ที่มีลูกเด็ดเป็นกูรุสเล่นงานคู่ต่อสู้ให้ “ม่อยกระรอกหลับกระแต” ได้

“แม่ไม้ท่าครู” นั้น ต้องใช้อวัยวะในร่างกายทุกสัดส่วน ทั้งหมัดเท้าเข่าศอก “ร่วมกันออกอาวุธ” ในท่วงท่า “อมตะ” ที่มีชื่อเรียกอย่างจำเพาะเจาะจงคือ “สลับฟันปลา ปักษาแหวกรัง ชวาซัดหอก อิเหนาแทงกริช ยอเขาพระสุเมรุ ตาเถรค้ำฟัก มอญยันหลัก ปักลูกทอย จระเข้ฟาดหาง หักงวงไอยรา นาคาบิดหาง วิรุฬหกกลับดับชวาลา ยักษาจับลิง ผีสิงหักคอช้าง นางมณโฑนั่งแท่น หนุมานถวายแหวน มุดบาดาล ช้างสารเสยงา ไต่ภูผาพระสุเมรุ เถรกวาดลาน ฝานลูกบวบ สับหัวมัจฉา พระเจ้าตานั่งแท่น สุครีพถอนต้นรัง กวางเหลียวหลัง บาทาลูบพักตร์ ชะแยค้ำเสา ทิ่มทัดมาลาและพม่ารำขวาน”

แม้ “มวยไทย” จะมีอันตรายขนาดไหน แต่เมื่อมา “จ๊ะเอ๋” กับ “มวยวัด” ที่เป็นนินจาไร้รูปแบบ “มวยวัด” กลับอันตรายกว่า “มวยไทย”

ที่ว่า “มวยวัดยอดอันตราย” เพราะมวยวัดได้นำเอา “อาวุธหนัก” ของสารพัดมวยมาใช้ รวมถึงนำ “แม่ไม้มวยหญิง” ที่มีทั้งกัด หยิก ข่วน เตะผ่าหมาก และบีบเจ้าชายน้อยมารวมเป็น “มวยจับฉ่าย” จนไม่มีมวยชนิดไหนมีฤทธิ์เดชเท่ากับ “มวยวัด”

ล่าสุด ผู้ที่ออกมาปล่อย “เดชมวยวัด” อย่างสุดมัน ได้แก่ “กลุ่มสส.อีสานเหนือ กลุ่ม 13 สส.ด้ามขวานทอง 10 พรรคไซส์ SS รวมถึงน้าเดชคนรักป่า” จนทำให้ผู้จัดการรัฐบาล ต้องโยนผ้าขาวขึ้นเวที รีบหา “ตำแหน่งที่เหมาะสม” ให้แก่ “นักชกมวยวัด” กันทั่วหน้า

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม