ใช้คำว่า “อัดอั้น” มานานคงไม่ผิดนักกับ “คนระดับฐานราก” ที่ถูกจำกัดสิทธิในการเรียกร้องแสดงออกเพื่อให้ภาครัฐออกมาตรการมาใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิต ตลอดช่วงเวลาของ รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมห้าปีเศษ โดยนับจากนี้เป็นต้นไป “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเหมือนนายกฯ คนอื่นๆ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่พ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้า คสช. อีกต่อไป
เมื่อทหารต้องกลับเข้ากรมกอง และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอำนาจพิเศษมาตรา 44 ทำอะไรได้แบบเด็ดขาด แต่จะต้องฟังเสียงนักการเมืองทั้งที่เป็นฝ่ายรัฐบาลด้วยกันรวมถึงฝ่ายค้านมากขึ้น “คนระดับฐานรากทั้งในชนบทและในเมือง” ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ในยุคที่เป็นนายกฯ พ่วงหัวหน้า คสช. ซึ่งล้วนเป็น “ฐานเสียงสำคัญของนักการเมืองทุกพรรค” ต่างออกมาประกาศจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ในรอบสัปดาห์เศษๆ ที่ผ่านมา มีหลากหลายกลุ่มปรากฏเป็นข่าว อาทิ เมื่อ 19 ก.ค. 2562 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม “พีมูฟ” (P-Move) ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล “เรียกร้องให้แก้ไขนโยบายของ คสช. ที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม เช่น นโยบายทวงคืนผืนป่า” ที่มีคนฐานะยากจนถูกขับไล่ออกจากพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินโดยอ้างว่าประชาชนบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์ ป่าสงวนบ้าง อุทยานแห่งชาติบ้าง และหลายรายถูกจับกุมดำเนินคดี
ต่อมาในวันที่ 22 ก.ค. 2562 กลุ่มพีมูฟ ยกขบวนกันไปที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยื่นหนังสือถึงเจ้ากระทรวงคนใหม่ วราวุธ ศิลปอาชา เรียกร้องในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “สิทธิในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า” เช่น ยุตินโยบายทวงคืนผืนป่าที่กระทบคนจน ส่งเสริมระบบโฉนดชุมชนที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนกับภาครัฐในการบริหารจัดการพื้นที่ แก้ไข พ.ร.บ.ป่าชุมชน , พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ฉบับ พ.ศ.2562 ในประเด็นที่สุ่มเสี่ยงกระทบสิทธิประชาชนคนเล็กคนน้อย เป็นต้น
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน 3 กลุ่มเกษตรกร อันประกอบด้วย สมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย กลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรจันทบุรี ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายยึดเกษตรกรเป็นหลัก ลดเอื้อกลุ่มทุน พยุงราคาสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต โดย มนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานรับซื้อปาล์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.20 บาท แต่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 3.38 บาท ชาวสวนปาล์มจึงประสบภาวะขาดทุน
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในไทยเกษตรกรไม่สามารถตั้งราคาผลผลิตเองได้ แต่พ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนด อยากให้กระทรวงพาณิชย์ สร้างความเป็นธรรมให้กับสินค้าราคาเกษตร ไม่ใช่เปลี่ยนกลไกตลาดเพื่อกลุ่มทุน รวมทั้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต การหาเทคโนโลยี วิธีการต่างๆ มาช่วยเกษตรกร
ขณะที่ อนุวัฒน์ อิ่มสมบูรณ์ เลขานุการสหกรณ์การเกษตรจังหวัดจันทบุรี-ทนงศักดิ์ ไทยจงรักษ์ ตัวแทนกลุ่มผู้รวบรวมข้าวโพดหวานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นห่วงเรื่องนโยบาย “เลิกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด คือ ไกลโฟเซต พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส” เพราะหากทำโดยไม่มีวิธีการอื่นทดแทนย่อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อีกทั้งปัจจุบันยังมีแนวทางการควบคุมและให้ความรู้และควบคุมการใช้สารเคมีทั้ง 3 ของเกษตรกรให้ถูกต้องตามหลักเกษตรปลอดภัย (GAP) ซึ่งผู้บริโภคก็สามารถไว้วางใจได้เช่นกัน
รวมถึงเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2562 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมพลผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ทบทวน “นโยบายของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ยกเลิกจุดผ่อนผัน ซึ่ง กทม.และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เคยใช้อำนาจร่วมกันตามกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 20 อนุมัติให้ตั้งขึ้น” โดยอ้างว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายจัดระเบียบสังคมของ คสช.” ทำให้จุดผ่อนผันกว่า 700 จุดในปี 2556 เหลือเพียง 200 กว่าจุด ในปี 2559
ซึ่งก็ต้องบอกว่า รัฐบาลใหม่ที่มี “นายกฯ ลุงตู่” เป็นผู้นำคนเดิมดูจะฟังเสียงคนฐานรากเช่นกัน เห็นได้จากคำแถลงนโยบาย 12 ด้านต่อรัฐสภา “ในส่วนนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ พบว่าข้อแรกได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน” เช่น การทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน, ปรับปรุงระบบที่ดินทำกินให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้, จัดทำแนวทางการกำหนดสิทธิและการจัดการสิทธิในที่ดินของเกษตรกรที่เหมาะสม
หรือ “ในข้อ 4 ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและการพัฒนานวัตกรรม” เช่น การประกันรายได้, ส่งเสริมระบบประกันภัยทางการเกษตร, ศึกษารูปแบบระบบแบ่งปันผลกำไรสินค้าเกษตรที่เป็นธรรมแก่เกษตรกร, ควบคุมมาตรฐานการใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีในการเกษตรเพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก โดยจัดหาสิ่งทดแทนที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของเกษตรกร เป็นต้น ซึ่งล้วนสอดคล้องกับบรรดาข้อเรียกร้องของหลายกลุ่มข้างต้น“แต่ในทางปฏิบัติ ครม. ชุดใหม่ จะผลักดันนโยบายเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน” ยังต้องตามดูกันต่อไป
เพราะอีกด้านหนึ่ง “ชาวตลาดบน” อันหมายถึงผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี กล่าวคือเป็นคนชั้นกลางค่อนบนขึ้นไปจนถึงคนร่ำรวย “ค่อนข้างชื่นชอบนโยบายเน้นความเป็นระเบียบ สะอาด สงบ และคัดค้านการผ่อนปรนเพื่อเอื้อต่อการกินการอยู่ของคนระดับฐานรากที่ดูไม่สวยงาม” ดังที่คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ เคยตั้งข้อสังเกตในเวทีเสวนา “ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่ากับผลกระทบต่อคนจน : กรณีอุทยานแห่งชาติไทรทอง” ณ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อ 10 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา
ระบุว่า “ชนชั้นกลางพอใจกับป่าที่ไม่มีคนอยู่เพราะบริสุทธิ์เหมาะกับการชื่นชมและท่องเที่ยว หรือพอใจกับการไล่รื้อชุมชนริมคลองเพราะคิดว่าสะอาดดี” พร้อมกับแนะนำว่าต้องใช้เวลา โดยระบบการศึกษารวมถึงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ต้องช่วยสร้างความเข้าใจใหม่ ซึ่งจุดนี้ “ที่นี่แนวหน้า” ก็ขอทิ้งท้ายด้วยบทกลอนของ พงษ์ศิลป์ หลี่อินทร์ กรรมการเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่อยากให้คนไทยทุกชนชั้นเข้าใจและเห็นใจกัน ว่า..
“ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันมันกระทบ, บางครั้งขบห้อเลือดเป็นเชือดเฉือน, เพื่อนร่วมชาติเปรียบเหมือนญาติอยู่ในเรือน, เปรียบเหมือนเพื่อนหญิงชายอย่าหน่ายกัน, เมื่อผิดพลาดพลั้งหน่อยอย่าคอยซ้ำ, ให้ระกำช้ำจิตคิดเหหัน, ควรผ่อนสั้นผ่อนยาวเข้าหากัน, ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องต้องดีจริง” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี