วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“ถ้าท่านไปดูสถิติผู้ต้องขังของเรือนจำทั่วประเทศ จะมีตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจ คือตัวเลขจำนวนผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 ก.ค. 2562 มีพี่น้องประชาชนต้องมาใช้ชีวิตในเรือนจำ 354,905 คน ตัวเลขนี้ถ้าเทียบกับเดือนก.ค. ของปีที่แล้ว (2561) ซึ่งมีตัวเลข 355,543 คน ดูเหมือนว่าผู้ต้องขังลดลง แต่เป็นผลจากการพระราชทานอภัยโทษเมื่อเดือนพ.ค. 2562 ที่ผ่านมา นั่นแปลว่าตัวเลขสูงขึ้นในความเป็นจริง
แล้วในตัวเลขกว่า 3.5 แสนคนนี้ มีตัวเลขหนึ่งที่ผมสนใจมากแล้วอยากจะกราบเรียนโดยเฉพาะไปยังท่านรัฐมนตรียุติธรรม มีผู้ถูกจองจำในเรือนจำแต่เป็นผู้ต้องขังระหว่างการดำเนินคดีกว่า 5.8 หมื่นคน ไหนบอกว่าถ้ายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ตรงนี้เป็นเรื่องที่พวกเราต้องให้ความสนใจร่วมกันว่าทำไมถึงมีผู้ต้องหาอยู่ระหว่างดำเนินคดีเกือบ 6 หมื่นคน ไปถูกขังอยู่ในเรือนจำ อย่าให้ประชาชนเข้าใจว่าเพราะจนจึงต้องติดคุก เพราะไม่มีเงินประกันจึงต้องติดคุก”
คำกล่าวของ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 25 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับปัญหากระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่ามี 2 ประเด็นคือ 1.นักโทษล้นคุก ดังที่มีข่าวอยู่เป็นระยะๆ ว่าเรือนจำไทยแออัดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และ 2.มีผู้ต้องถูกจองจำทั้งที่ยังไม่แน่ชัดว่าได้กระทำผิดจริงๆ โดยจำนวนมากมาจากเรื่องการประกันตัว ทั้ง 2 เรื่อง เป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมไทยพูดถึงมาหลายปีแต่ยังไม่ค่อยมีการแก้ไขให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
ที่งานเสวนา “จะปฏิรูปงานสอบสวนและการสั่งคดีของอัยการอย่างไร ให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนเชื่อถือเชื่อมั่น” 30 ก.ค. 2562 น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการจังหวัดสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงเรื่องการประกันตัวว่า “วิธีคิดแบบไทยๆ ทำตรงกันข้ามกับประเทศเจริญแล้ว” และนั่นทำให้มีคนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุดเป็นจำนวนมาก
“สภายุโรป (Council of Europe) มีคำแนะนำในปี 2549 บอกว่าถ้าจะขังบุคคลใดต้องมีเหตุ 1.หลบหนี 2.เป็นคดีร้ายแรง 3.ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน 4.ตัวเขาเป็นภัยอันตรายต่อสังคม แปลว่าจะขังใครสักคนคุณต้องหาเหตุ 4 เหตุนี้มาให้ได้ แต่ประเทศไทย..ในการพิจารณาปล่อยตัวบุคคลต้องมีเหตุ 1.เขาจะหลบหนีไหม 2.เขาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือเปล่า 3.เขาจะเป็นอันตรายต่อสังคมหรือเปล่า 4.เขามีเงินหรือหลักประกันหรือเปล่า กลายเป็นว่าจะปล่อยเขาต้องถามว่าเขามีสตางค์ไหมแต่ในยุโรปจะขังเขาต้องถามว่าเขาจะหนีไหม” คุณน้ำแท้
กล่าว
นอกจากนี้ “กระบวนการจับกุมและตั้งข้อหาก็ดูจะง่ายเหลือเกิน” อัยการท่านนี้ ยกอีกตัวอย่างแบบที่อาจจะเรียกว่า “ไทยแลนด์โอนลี่ (Thailand Only)” ไม่น่ามีที่ไหนอีกแล้วบนโลกโดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า นั่นคือ “การปล่อยให้บางหน่วยงานมีอำนาจเข้าถึงพยานหลักฐานได้เพียงฝ่ายเดียว” ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของในสังคมในกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก ดังกรณีศึกษาคือ “คดีล่าเสือดำในเขตอนุรักษ์” บางหน่วยงานบอกว่าไม่พบดีเอ็นเอ (DNA) เสือดำในที่เกิดเหตุ แต่โชคดีที่หน่วยงานป่าไม้เข้าไปเก็บหลักฐานไว้จึงสามารถดำเนินคดีต่อได้
ท่านอัยการยังย้ำด้วยว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศที่เจริญแล้วไม่ว่าในอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แม้จะมีระบบกฎหมายที่ต่างกัน บางประเทศใช้ระบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) บางประเทศใช้ระบบจารีตประเพณี (Common Law) แต่ทุกประเทศล้วนเหมือนกันคือ “เมื่อตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้อัยการจะเข้ามาร่วมกระบวนการสอบสวนด้วยทันที” เพื่อตรวจสอบว่ามีการบังคับให้รับสารภาพหรือไม่ พยานหลักฐานเพียงพอในการส่งฟ้องหรือไม่ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะยึดหลักคุ้มครองไม่ให้มีปัญหา “แพะ” หรือการจับผิดคน
“ผมเคยฟ้องคดีแล้วไปสืบพยานหลักฐานเขาในศาล เขาถูกขังอยู่ประมาณ 6 เดือน เขาเอาพยานหลักฐานมาสืบ ผมตกใจว่าถ้าพยานหลักฐานนี้ผมรู้ก่อนผมสั่งไม่ฟ้องไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว ผมก็ถามเขาว่าแล้วทำไมไม่เอาพยานหลักฐานนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบ เขาตอบว่าให้แล้วแต่ตำรวจไม่สอบ ถ้าอัยการอ่านสำนวนที่ไม่มีพยานปากนี้ในสำนวนก็สั่งฟ้อง อัยการไทยไม่เคยเห็นพยานจนกระทั่งวันสืบพยาน นี่คือจุดอ่อนอย่างยิ่ง อัยการไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้ ให้สอบสวนเพิ่มเติมจะไปสอบอะไร ก็ผมไม่รู้ว่ามีพยานปากนี้อยู่” คุณน้ำแท้ ยกตัวอย่าง
ขณะที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ กล่าวเสริมถึงความสำคัญของการให้มีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบการทำคดี เช่น ในอดีตมักมีข่าว “วิสามัญฆาตกรรม” ประเภทตำรวจมักรายงานว่าคนร้ายพยายามต่อสู้ขัดขืนจึงต้องยิงเพื่อป้องกันตัวบ่อยครั้ง แต่เมื่อมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ฝ่ายปกครอง (นายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัด) และอัยการร่วมสอบสวน จำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมก็ลดลงไปมาก เพราะเหตุให้ตำรวจจำเป็นต้องวิสามัญฆาตกรรมจริงๆ แล้วเกิดน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นข้ออ้างเสียมากกว่า
แต่ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ แต่เดิมมีข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยปี 2509 กำหนดว่าหากประชาชนร้องขอ นายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถขอตรวจสำนวนที่ตำรวจทำการสอบสวนคดีความได้ แต่ในปี 2556 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปออกระเบียบแจ้งถึงตำรวจท้องที่ทั่วประเทศว่าการส่งสำนวนคดีให้นายอำเภอหรือผู้ว่าฯ ต้องผ่านการพิจารณาของ สตช. ซึ่งทางปฏิบัติก็คือไม่ให้ โดยอ้างว่าวันนี้ตำรวจไม่ได้อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว
“ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยออกโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มันจะไม่มีผลบังคับได้อย่างไร พนักงานสอบสวนจะไม่ทำตามก็ผิดกฎหมาย ทำตามนายก็จะลงโทษ จะเอาอย่างไร บางคนก็ส่งไปให้นายอำเภอดู เขาก็กำชับว่าใครส่งจะลงโทษ ก็ทำให้พนักงานสอบสวนในปัจจุบันไม่ส่งสำนวนให้นายอำเภอหรือผู้ว่าฯ แล้วก็ก่อให้เกิดปัญหานับแต่นั้นเป็นต้นมา” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาการจับกุมคุมขังและตั้งข้อหาอันทำให้เกิดแพะและคนที่ต้องติดคุกโดยไม่จำเป็น เรื่องนี้ว่าแก้ยากแล้วเพราะกระทบกับอำนาจของหลายหน่วยงาน แต่ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงระบบราชทัณฑ์และการปล่อยตัวหลังรับโทษครบตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจจะแก้ยากกว่าเพราะมีประเด็นทัศนคติของสังคมด้วย
(โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า)

กระจ่างแจ้ง! 'อาจารย์มิก' ส่องให้ดูทุกขั้นตอน 'ทักษิณ' อำพรางขายหุ้นชิน จนถึงบทสรุปศาลฎีกาสั่งจ่าย 1.76 หมื่นล้าน
สธ. เดินหน้าการกิจ Never Stop to Burn ทำลาย มั่นใจ ไม่เวียนขาย ไปทำลายสังคม
'ตึกแดงวินเทจ'ลงดาบแม่ค้าปากแซ่บ ประกาศยกเลิกสัญญาเช่าทันที ปมด่าลูกค้าอยากฉลาดให้ถาม
สุดยอด!!! เจาะลึกกลยุทธ์'ศุภจี'เจรจาอเมริกา ใช้ศักยภาพอาหารไทย สร้างแต้มต่อระดับโลก
คพ.จับมือกทม.ร่วมเปิดศูนย์สื่อสารมลพิษอากาศ แจ้งเตือนล่วงหน้ารับมือฝุ่น PM2.5

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี