“ถ้าท่านไปดูสถิติผู้ต้องขังของเรือนจำทั่วประเทศ จะมีตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจ คือตัวเลขจำนวนผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 ก.ค. 2562 มีพี่น้องประชาชนต้องมาใช้ชีวิตในเรือนจำ 354,905 คน ตัวเลขนี้ถ้าเทียบกับเดือนก.ค. ของปีที่แล้ว (2561) ซึ่งมีตัวเลข 355,543 คน ดูเหมือนว่าผู้ต้องขังลดลง แต่เป็นผลจากการพระราชทานอภัยโทษเมื่อเดือนพ.ค. 2562 ที่ผ่านมา นั่นแปลว่าตัวเลขสูงขึ้นในความเป็นจริง
แล้วในตัวเลขกว่า 3.5 แสนคนนี้ มีตัวเลขหนึ่งที่ผมสนใจมากแล้วอยากจะกราบเรียนโดยเฉพาะไปยังท่านรัฐมนตรียุติธรรม มีผู้ถูกจองจำในเรือนจำแต่เป็นผู้ต้องขังระหว่างการดำเนินคดีกว่า 5.8 หมื่นคน ไหนบอกว่าถ้ายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ตรงนี้เป็นเรื่องที่พวกเราต้องให้ความสนใจร่วมกันว่าทำไมถึงมีผู้ต้องหาอยู่ระหว่างดำเนินคดีเกือบ 6 หมื่นคน ไปถูกขังอยู่ในเรือนจำ อย่าให้ประชาชนเข้าใจว่าเพราะจนจึงต้องติดคุก เพราะไม่มีเงินประกันจึงต้องติดคุก”
คำกล่าวของ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 25 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับปัญหากระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่ามี 2 ประเด็นคือ 1.นักโทษล้นคุก ดังที่มีข่าวอยู่เป็นระยะๆ ว่าเรือนจำไทยแออัดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และ 2.มีผู้ต้องถูกจองจำทั้งที่ยังไม่แน่ชัดว่าได้กระทำผิดจริงๆ โดยจำนวนมากมาจากเรื่องการประกันตัว ทั้ง 2 เรื่อง เป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมไทยพูดถึงมาหลายปีแต่ยังไม่ค่อยมีการแก้ไขให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
ที่งานเสวนา “จะปฏิรูปงานสอบสวนและการสั่งคดีของอัยการอย่างไร ให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนเชื่อถือเชื่อมั่น” 30 ก.ค. 2562 น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการจังหวัดสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงเรื่องการประกันตัวว่า “วิธีคิดแบบไทยๆ ทำตรงกันข้ามกับประเทศเจริญแล้ว” และนั่นทำให้มีคนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุดเป็นจำนวนมาก
“สภายุโรป (Council of Europe) มีคำแนะนำในปี 2549 บอกว่าถ้าจะขังบุคคลใดต้องมีเหตุ 1.หลบหนี 2.เป็นคดีร้ายแรง 3.ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน 4.ตัวเขาเป็นภัยอันตรายต่อสังคม แปลว่าจะขังใครสักคนคุณต้องหาเหตุ 4 เหตุนี้มาให้ได้ แต่ประเทศไทย..ในการพิจารณาปล่อยตัวบุคคลต้องมีเหตุ 1.เขาจะหลบหนีไหม 2.เขาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือเปล่า 3.เขาจะเป็นอันตรายต่อสังคมหรือเปล่า 4.เขามีเงินหรือหลักประกันหรือเปล่า กลายเป็นว่าจะปล่อยเขาต้องถามว่าเขามีสตางค์ไหมแต่ในยุโรปจะขังเขาต้องถามว่าเขาจะหนีไหม” คุณน้ำแท้
กล่าว
นอกจากนี้ “กระบวนการจับกุมและตั้งข้อหาก็ดูจะง่ายเหลือเกิน” อัยการท่านนี้ ยกอีกตัวอย่างแบบที่อาจจะเรียกว่า “ไทยแลนด์โอนลี่ (Thailand Only)” ไม่น่ามีที่ไหนอีกแล้วบนโลกโดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า นั่นคือ “การปล่อยให้บางหน่วยงานมีอำนาจเข้าถึงพยานหลักฐานได้เพียงฝ่ายเดียว” ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของในสังคมในกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก ดังกรณีศึกษาคือ “คดีล่าเสือดำในเขตอนุรักษ์” บางหน่วยงานบอกว่าไม่พบดีเอ็นเอ (DNA) เสือดำในที่เกิดเหตุ แต่โชคดีที่หน่วยงานป่าไม้เข้าไปเก็บหลักฐานไว้จึงสามารถดำเนินคดีต่อได้
ท่านอัยการยังย้ำด้วยว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศที่เจริญแล้วไม่ว่าในอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แม้จะมีระบบกฎหมายที่ต่างกัน บางประเทศใช้ระบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) บางประเทศใช้ระบบจารีตประเพณี (Common Law) แต่ทุกประเทศล้วนเหมือนกันคือ “เมื่อตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้อัยการจะเข้ามาร่วมกระบวนการสอบสวนด้วยทันที” เพื่อตรวจสอบว่ามีการบังคับให้รับสารภาพหรือไม่ พยานหลักฐานเพียงพอในการส่งฟ้องหรือไม่ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะยึดหลักคุ้มครองไม่ให้มีปัญหา “แพะ” หรือการจับผิดคน
“ผมเคยฟ้องคดีแล้วไปสืบพยานหลักฐานเขาในศาล เขาถูกขังอยู่ประมาณ 6 เดือน เขาเอาพยานหลักฐานมาสืบ ผมตกใจว่าถ้าพยานหลักฐานนี้ผมรู้ก่อนผมสั่งไม่ฟ้องไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว ผมก็ถามเขาว่าแล้วทำไมไม่เอาพยานหลักฐานนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบ เขาตอบว่าให้แล้วแต่ตำรวจไม่สอบ ถ้าอัยการอ่านสำนวนที่ไม่มีพยานปากนี้ในสำนวนก็สั่งฟ้อง อัยการไทยไม่เคยเห็นพยานจนกระทั่งวันสืบพยาน นี่คือจุดอ่อนอย่างยิ่ง อัยการไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้ ให้สอบสวนเพิ่มเติมจะไปสอบอะไร ก็ผมไม่รู้ว่ามีพยานปากนี้อยู่” คุณน้ำแท้ ยกตัวอย่าง
ขณะที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ กล่าวเสริมถึงความสำคัญของการให้มีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบการทำคดี เช่น ในอดีตมักมีข่าว “วิสามัญฆาตกรรม” ประเภทตำรวจมักรายงานว่าคนร้ายพยายามต่อสู้ขัดขืนจึงต้องยิงเพื่อป้องกันตัวบ่อยครั้ง แต่เมื่อมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ฝ่ายปกครอง (นายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัด) และอัยการร่วมสอบสวน จำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมก็ลดลงไปมาก เพราะเหตุให้ตำรวจจำเป็นต้องวิสามัญฆาตกรรมจริงๆ แล้วเกิดน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นข้ออ้างเสียมากกว่า
แต่ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ แต่เดิมมีข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยปี 2509 กำหนดว่าหากประชาชนร้องขอ นายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถขอตรวจสำนวนที่ตำรวจทำการสอบสวนคดีความได้ แต่ในปี 2556 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปออกระเบียบแจ้งถึงตำรวจท้องที่ทั่วประเทศว่าการส่งสำนวนคดีให้นายอำเภอหรือผู้ว่าฯ ต้องผ่านการพิจารณาของ สตช. ซึ่งทางปฏิบัติก็คือไม่ให้ โดยอ้างว่าวันนี้ตำรวจไม่ได้อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว
“ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยออกโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มันจะไม่มีผลบังคับได้อย่างไร พนักงานสอบสวนจะไม่ทำตามก็ผิดกฎหมาย ทำตามนายก็จะลงโทษ จะเอาอย่างไร บางคนก็ส่งไปให้นายอำเภอดู เขาก็กำชับว่าใครส่งจะลงโทษ ก็ทำให้พนักงานสอบสวนในปัจจุบันไม่ส่งสำนวนให้นายอำเภอหรือผู้ว่าฯ แล้วก็ก่อให้เกิดปัญหานับแต่นั้นเป็นต้นมา” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาการจับกุมคุมขังและตั้งข้อหาอันทำให้เกิดแพะและคนที่ต้องติดคุกโดยไม่จำเป็น เรื่องนี้ว่าแก้ยากแล้วเพราะกระทบกับอำนาจของหลายหน่วยงาน แต่ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงระบบราชทัณฑ์และการปล่อยตัวหลังรับโทษครบตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจจะแก้ยากกว่าเพราะมีประเด็นทัศนคติของสังคมด้วย
(โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี