ปัญหาค่าเงินบาทแข็งมากผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงมาจากสงครามการค้าของโลกระหว่าง 3 คู่กรณี นั่นคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับสาธารณรัฐประชาชนจีน, สหรัฐอเมริกากับประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ยังผลให้เงินบาทแข็งมาก ล่าสุดอัตราแลกเปลี่ยน ในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา มีดังนี้คือ
1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 30.776 บาท 1 ปอนด์สเตอร์ลิง เท่ากับ 37.00 บาท 1 ยูโร เท่ากับ 34.20 บาท 1 เยน เท่ากับ 0.34 บาท 1 หยวน เท่ากับ 4.30 บาท 1 ดอลลาร์ฮ่องกง เท่ากับ 3.88 บาท 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ เท่ากับ 22.00 บาท 1 ริงกิตมาเลเซีย เท่ากับ 7.20 บาท 1 รูปีอินเดีย เท่ากับ 0.40 บาท 1 ฟรังก์สวิส เท่ากับ 31.30 บาท 1 ดอลลาร์ไต้หวัน เท่ากับ 0.96 บาท
ในขณะนี้จีนได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 7 หยวน ส่งผลให้สินค้าไทยที่จะส่งไปยังจีนมีราคาสูงขึ้น คาดว่าจะทำให้รายได้จากการส่งสินค้าออกของไทยลดลงประมาณร้อยละ 1 เท่ากับประมาณปีละ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 75,000ล้านบาท และจะส่งผลให้รายได้จากการมีนักท่องเที่ยวจากจีนหายไปอาจจะสูงถึงร้อยละ 10 ของวงเงินรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 75,000 ล้านบาท
แต่ที่กระทบกระเทือนหนักแน่ๆ ก็คือ รายรับจากการขายคอนโดมิเนียมทั่วประเทศไทยที่ชาวจีนนับแสนรายได้มาลงทุนซื้อเอาไว้ไม่น้อยกว่า 200,000 – 300,000 หน่วย คิดเป็นวงเงินมากกว่า 100,000 ล้านบาท ที่จะส่งผลไปมากขนาดไหนไม่รู้เพราะจะกระทบรายได้ของกิจการอสังหาริมทรัพย์มหาศาลเลย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ภาครัฐบาล
ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเร่งหาทางป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ โดยด่วนที่สุด
การอ่อนค่าของสกุลเงินหยวนของจีนนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงค่าเงินสกุลต่างๆ ในเอเชียอ่อนค่าตามหยวนด้วยเช่น เงินวอนของเกาหลีใต้ เงินเยนของญี่ปุ่น เงินดอลลาร์ไต้หวัน และเงินดอลลาร์ฮ่องกง ยกเว้นสกุลเงินบาทของไทยที่เคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับเงินสกุลอื่นๆ คือแข็งค่ามากขึ้น เพราะประเทศไทยถูกมองว่าเป็นประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในภูมิภาคนี้ดีกว่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกงเสียอีก
นี่ต้องบอกว่าเป็นผลงานของรัฐบาล คสช.ในอดีต 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ฐานะเศรษฐกิจการเงินของไทยดีขึ้นมาก ดังนั้นการแก้ไขโดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็คงไม่สามารถทำได้มากนักเพราะไทยเป็นประเทศเงินทุนเปิดมีการไหลเข้า-ออกของเงินตราต่างประเทศอยู่ทุกๆ วัน การป้องกันคงทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
สาเหตุหลักมาจากความผันผวนทางการเงินของโลกมากกว่าการแก้ไขปัญหาของธนาคารแห่งประเทศไทยคือดูแลแบบกว้างๆ เท่านั้น อาจจะการดำเนินนโยบายทางการเงินด้วยการทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงไปร้อยละ 0.25 อาจจะช่วยให้ค่าเงินบาทไม่แข็งมากจนเกินไป แต่คงช่วยอะไรไม่ได้เต็มที่ค่าเงินบาทที่แข็งถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ฐานะดุลการค้าของไทยก็ยังดีอยู่มากทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ต่อไปนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี