เป็นที่เชื่อได้ว่า ขณะนี้ คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ ด้วยถ้อยคำที่ไม่ครบถ้วน เพราะได้ปฏิญาณเพียง 2 ประเด็น คือ
1. จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
2. จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ทั้งนี้ ขาดประเด็นที่ 3 คือ จะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
ซึ่งเป็นการขาดการปฏิญาณประเด็นสำคัญไปว่าจะบริหารประเทศด้วยระบบนิติรัฐนั่นเอง
การปฏิญาณตนของคณะรัฐมนตรีก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ มีความสำคัญมาก
เพราะ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล” ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ครม.ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ย่อมมีความหมายว่า ต้องปฏิญาณตนต่อปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจผ่านพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น การขาดข้อความหรือไม่ได้ปฏิญาณในประเด็นสำคัญ ซึ่งสะท้อนความเป็นนิติรัฐของการบริหารและปกครอง จึงขาดตกข้อความประเด็นสำคัญ
เมื่อ ครม.ไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วน ครม.จึงยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
การปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีแต่ละคน ก็อาจจะโมฆะได้
แต่ถ้าสังเกตดูรูปการและประโยชน์ที่ได้จากการกล่าวคำปฏิญาณไม่ครบแล้ว เชื่อได้ว่านายกรัฐมนตรี ผู้นำการกล่าวปฏิญาณคงไม่มีเจตนาที่จะละเว้นหรือจงใจกระทำเช่นนั้น
ทางออกของปัญหา
หากผู้ตรวจการแผ่นดินจะเร่งพิจารณาตามที่มีผู้ยื่นคำร้องให้พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคณะรัฐมนตรีและประเทศโดยรวม เพราะหากชักช้าเนิ่นนานไป คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละคนก็ได้ดำเนินงานบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการ หรือมีมติไปมากแล้ว
คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียให้สิ้นสงสัย เชื่อได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมิได้พิจารณาแต่ข้อกฎหมายและคงจะได้พิจารณาผลกระทบถึงสังคมการเมือง เพราะหากมติ ครม.และการสั่งการเป็นโมฆะแต่ต้น ย่อมส่งผลกระทบสังคมอย่างมาก
ขณะเดียวกัน คิดว่าโอกาสคงมีน้อยมาก ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้การถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไม่ครบถ้วนขาดข้อความประเด็นสำคัญ เป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณที่ชอบแล้วตามรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นบรรทัดฐานให้ ครม.ชุดต่อๆ ไป จะถวายสัตย์ปฏิญาณขาดตก ต่อเติมข้อความได้ด้วยตัวเอง
ศาลรัฐธรรมนูญอาจมีคำวินิจฉัยว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ยังไม่ครบถ้วน แต่ได้กระทำไปโดยขาดเจตนาที่จะละเว้นขาดตกข้อความในประเด็นที่สำคัญ ก็ให้การกระทำใดๆ หรือมติของ ครม.ที่ได้กระทำก่อนหน้าคำวินิจฉัย เป็นไปตามที่ได้กระทำไว้
หลังจากนั้น ครม.ก็อาจขอพระราชทานอภัยโทษ และขอเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณอีกครั้งให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ก็จะเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
การตอบกระทู้ของรัฐสภา กับดีกรีความเป็นประชาธิปไตย
การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บางครั้งก็สมาชิกวุฒิสภา) จะได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ถือเป็นกระบวนการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ เพราะเมื่อประชาชนเลือกตัวแทนเข้ามาทำงานในรัฐสภา (เพราะประชาชน 60 กว่าล้านคนไม่สามารถเข้ามาควบคุมตรวจสอบเองได้) และ สส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนได้เลือกสรรกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีผู้บริหารประเทศ
ตัวแทนของประชาชนย่อมจะต้องติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร และสามารถตั้งกระทู้ถามฝ่ายบริหารในทุกสัปดาห์ได้ ว่าทำไมฝ่ายบริหารจึงได้ดำเนินการอย่างนั้นอย่างนี้ อาจท้วงติง เสนอแนะ ในนามของประชาชน เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ
การตอบกระทู้ของฝ่ายบริหาร โดยนายกฯ หรือรัฐมนตรี ย่อมแสดงให้เห็นถึงความคิดและจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย ที่ยอมรับว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และต้องให้ตัวแทนของปวงชนชาวไทยมีส่วนร่วมในการตรวจสอบเสนอแนะได้
รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ยินดีมาตอบกระทู้ หรือบ่ายเบี่ยงที่จะมาตอบกระทู้ ย่อมสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยของผู้บริหารประเทศ แน่นอน รัฐมนตรีหรือนายกฯ อาจไม่สามารถมาตอบกระทู้ได้ทุกครั้ง แต่ความสนใจ ความเข้าใจ และจำนวนครั้งของการมาตอบกระทู้ ย่อมสะท้อนการกระทำและความรู้สึกนึกคิดของรัฐมนตรีท่านนั้นได้
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่ออกจะเอาใจเข้าข้างรัฐบาลประยุทธ์ คอลัมน์ “อ่านเอาเรื่อง” ได้รวบรวมสถิติของรัฐบาลที่มาตอบกระทู้ ดังนี้
“ในอดีต นายกรัฐมนตรีที่เข้าตอบกระทู้ในสภามากที่สุดคือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
มีการตั้งกระทู้ถามสด ๑๖๐ กระทู้ ถามไปยังนายกฯ ๑๑๓ กระทู้ “อภิสิทธิ์” ตอบ ๕๓ กระทู้
รองลงมา “สมัคร สุนทรเวช”
มีการตั้งกระทู้ถามสดจำนวนทั้งสิ้น ๔๐ กระทู้ เป็นกระทู้ที่ถามถึงนายกฯ ๑๒ กระทู้ “สมัคร” ตอบเอง ๖ กระทู้
ยุค “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” มีการตั้งกระทู้ถาม ๑๑ กระทู้ ถามนายกฯ ๕ กระทู้ นายกฯ ตอบเอง ๒ กระทู้
“ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ในอำนาจ ๖ ปี มีการตั้งกระทู้ถามสด ๓๗๘ กระทู้ “ทักษิณ” ตอบแค่ ๖ กระทู้
และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มีกระทู้ถามสดนายกฯ ๓๒ กระทู้ “ยิ่งลักษณ์” ตอบไปแค่ ๒ กระทู้...”
จะเห็นได้ว่า “ทักษิณ – ยิ่งลักษณ์” สองพี่น้อง ไปตอบกระทู้ในสภาเพียงปีละ 1 กระทู้
พลเอกประยุทธ์คงจะต้องเลือกจะเดินตามรอยใคร
“...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหนีสภาไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ
ถ้าทำเช่นนั้นผลที่ตามมาคือ....
ไม่สง่างาม
เป็นการเดินตามรอย “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่ไม่ให้เกียรติสภาเลย
ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีที่มาจากทหาร ต้องอกผายไหล่ผึ่ง เดินเข้าสภาตอบกระทู้ถามของฝ่ายค้าน ถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณตนที่เกิดปัญหาว่ามีเหตุจากอะไร
ไม่เจตนาก็บอกไปตามนั้น หรือจะตอบว่าเรื่องอยู่ในการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง”
ความจริง การตอบกระทู้ในสภาเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว เพราะ สส.ผู้ตั้งกระทู้สามารถถามได้เพียงคนเดียว และถามได้ 3 ครั้งเท่านั้น สส.คนอื่นอภิปรายไม่ได้
เมื่อนายกฯ ประยุทธ์ ไม่มาตอบกระทู้ 2 ครั้ง ใน 2 สัปดาห์ สส. 214 คน จึงได้ยื่นประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ในปมที่นายกฯ ประยุทธ์นำ ครม.ทั้งคณะถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 และพ่วงเรื่องที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายโดยไม่แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย ตามข้อบังคับรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 อีกด้วย
ครั้งนี้ สส.ฝ่ายรัฐบาลอาจมีลูกเล่น อ้างข้อบังคับการประชุมยังไม่เสร็จเรียบร้อย เลื่อนการบรรจุวาระการพิจารณา แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการพิจารณาเปิดอภิปรายทั่วไปในสภา พลเอกประยุทธ์และ ครม. จะไม่โดนตั้งคำถามจาก สส.เพียงคนเดียวเหมือนกระทู้ถาม แต่ สส.จำนวนมากในสภาก็จะสามารถอภิปรายได้
รัฐบาลประยุทธ์คงต้องรับศึกหนักอีกครั้ง จากการไม่ยอมให้มีการตรวจสอบในสภา และไม่ตรงไปตรงมา
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี