การเก็บภาษีสรรพสามิต เช่น ภาษีเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และความเค็ม เป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยปรับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย โดยรัฐบาลหวังว่าการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตหรือขึ้นราคาสินค้าทำลายสุขภาพ จะทำให้คนไทยหันมาบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น หรือลด ละ เลิกสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นนโยบายที่มากับความตั้งใจที่ดีเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองแบบนี้ การขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า จะช่วยตอบโจทย์การส่งเสริมสุขภาพจริงหรือไม่ ขณะที่นโยบายเหล่านี้กลับไปสร้างความเดือดร้อนและผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อเกษตรกรชาวไร่ ต่อผู้บริโภค และต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในปี 2560 ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตและกระทรวงสาธารณสุขหวังว่าจะช่วยให้ผู้สูบลดการบริโภคบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของอันตรายต่อสุขภาพ แต่กลับทำให้ชาวไร่ยาสูบได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดรายได้ กลายเป็นมีหนี้สินเพิ่มขึ้นและรายได้ลดลง สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการดูแลปากท้องของประชาชนโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา เพราะภาษีบุหรี่ทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้นมากจนกระทบยอดขายของการยาสูบแห่งประเทศไทยจึงต้องลดโควตารับซื้อใบยาสูบทั่วประเทศลงเกือบ 50% ทำให้รายได้ของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศหายไปทันทีครึ่งหนึ่ง นอกจากนั้นผลจากการปรับขึ้นภาษี ทำให้คนหันมาสูบยาเส้นและบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น จนทำให้ตลาดยาเส้นเติบโตแบบเท่าตัว ขณะที่บุหรี่เถื่อนก็ระบาดหนักตามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท้ายที่สุดรัฐบาลต้องประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่ 40% ออกไป 1 ปี เพื่อลดผลกระทบต่อชาวไร่ แต่ก็เป็นเพียงการเลื่อนปัญหาออกไป ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาวแต่อย่างใด
ต่อมา กรมสรรพสามิตต้องออกประกาศขึ้นภาษียาเส้นเพื่อลดช่องว่างราคาขายปลีกบุหรี่กับยาเส้นจากเดิม โดยคาดว่าจากอัตราภาษีใหม่นี้จะทำให้มีการบริโภคยาเส้นลดลง แต่ก็กลับไปกระทบต่อชาวไร่ที่ปลูกยาสูบเพื่อทำยาเส้นขาย เมื่อชาวไร่ยาเส้นต้องกลายเป็นผู้รับกรรม เพราะไม่สามารถขายใบยาได้ เพราะภาษีที่สูงก้าวกระโดดจนเกินไป จึงต้องออกมาเรียกร้องให้กรมสรรพสามิตยกเลิกการขึ้นภาษียาเส้นด้วยเช่นกัน
อีกกรณีหนึ่งคือการปรับขึ้นภาษีน้ำตาลซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 นี้ก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลมองว่าไม่ต้องการส่งเสริมให้คนบริโภคน้ำตาลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ โดยเชื่อมั่นว่าจะไม่กระทบผู้ประกอบการและชาวไร่อ้อย เพราะได้ให้เวลาผู้ประกอบการได้ปรับตัวเพื่อรับมือกับการจะปรับขึ้นภาษีความหวาน แต่ก็เริ่มมีการปรับราคาเครื่องดื่มกันไปล่วงหน้าแล้วและมีความกังวลว่าจะมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมากขึ้น ซึ่งก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่าผู้บริโภคที่ต้องรับภาระจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจะลดการบริโภคน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ลงได้จริงหรือไม่ หรือจะมีผลกระทบที่ไม่คาดหวังอะไรตามมาด้วยอีก
หยิบคำพูดของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวไว้ระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เสมือนเป็นการเตือนสติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาไว้ว่า “การขึ้นภาษีเหล้าบุหรี่ก็เพื่อสาธารณสุข เพราะโรคร้ายต่างๆ มันรักษานาน ค่าใช้จ่ายในการดูแลก็สูง แต่สุดท้ายแล้วถ้ามันไม่เหมาะสมก็ต้องปรับใหม่ ทุกอย่างมันปรับได้ทั้งนั้น”
ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านนายกฯ เพราะภาษีสูงไปก็สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชน แต่ถ้าภาษีต่ำไป ก็เหมือนส่งเสริมสินค้าอันตรายที่อาจทำร้ายสุขภาพประชาชน เป็นโจทย์สำคัญของกระทรวงการคลังที่จะต้องหาแนวทางสร้างสมดุลที่ดีระหว่างภาษี สุขภาพ และความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนคนในชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี