“เกิดที่ดี แล้วดี นั้นมีแน่
เกิดที่แย่ แล้วดี ก็มีได้
เกิดที่ดี แล้วแย่ มีถมไป
เกิดที่ไหน ก็ดีได้ ถ้าใฝ่ดี”
คำกลอนสอนใจที่ได้มาจากวัดแห่งหนึ่งบนภูเขาสูงทางภาคเหนือ เขียนบนกระดาษติดไว้ที่ศาลาพักริมเชิงเขา ไม่บอกว่าใครเป็นผู้แต่ง ขอนำมาฝากท่านผู้อ่านคอลัมน์นี้ทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังมีอำนาจที่ไม่เคยปล่อยวาง ไม่รู้จักพอ
คนไม่รู้จักพอก็เหมือนคนที่หิวอยู่ตลอดเวลา ต้องหาโน่นหานี่กินอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นคนโลภไปโดยไม่รู้ตัว กล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างไม่เกรงกลัวใคร
หมดอำนาจหน้าที่แล้วไม่ยอมหมด ขออยู่ต่อไปอีกมีการวางแผนกับคนใกล้ชิดในการหาวิธีการ หรือช่องทางกลับเข้ามาใหม่ กลายเป็นคนไม่รู้จักพอ ทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายปีในอำนาจที่มี ก็ไม่เคยจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ดีขึ้น หรือสำเร็จลุล่วงไปได้
บ้านเมืองของเราขณะนี้จึงต้องเป็นอย่างนี้ เพราะการบริหารไม่เป็นไปบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมที่ดีงาม ใช้จ่ายเงินภาษีที่เก็บมาจากชาวบ้านแบบไม่ประมาณตน เป็นที่ประจักษ์หลายเรื่องหลายราว
ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีสงครามจิตวิทยากับชาวบ้าน ด้วยการสร้างความหวัง ยังความกลัว ยั่วให้เกลียด ซึ่งเป็นยุทธวิธีในการรบกับข้าศึกเท่านั้น ไม่ใช่นำมาใช้กับพวกเดียวกันเอง โดยเฉพาะกับชาวบ้านผู้เสียภาษี
การรู้จักพอจะทำให้เกิดความพอดีในสิ่งต่างๆต่อไปนี้
1. ความพอดีทางด้านจิตใจ
ให้เป็นคนที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ไม่ใช่คำนึงแต่พวกพ้อง มีการตัดสินใจอย่างคนมีคุณธรรมความถูกต้อง เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะเป็นคำแนะนำจากใครก็ตาม ก็ต้องรู้จักพิจารณาให้ดีว่าเป็นผลประโยชน์สาธารณะหรือของกลุ่มพวกของตน
2. ความพอดีด้านสังคม
โดยเฉพาะการรู้จักสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นกับชุมชนตามขั้นตอนที่วางไว้อย่างเหมาะสม เฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อน ในลักษณะที่สามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้เป็นอันดับแรก
3. ความพอดีด้านเศรษฐกิจ
โดยการดำรงชีวิตอย่างพอควร พออยู่พอกิน สมควรตามอัตภาพและฐานะของตน โดยเฉพาะภาคเกษตรซึ่งเป็นภาคของการทำมาหากินพื้นฐานของชาวบ้านส่วนใหญ่ในชนบท และเน้นการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทำการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกินไป ที่จะต้องพึ่งพาวัตถุดิบและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตสินค้า ทุกอย่างต้องคำนึงถึงสิ่งที่มีอยู่ในประเทศก่อน จึงจะทำให้ประเทศไม่ต้องพึ่งพาจากต่างชาติ ดังเช่นในขณะนี้ที่โลดแล่นออกไปแบบ “ไทยแลนด์ 4.0”
4. ความพอดีด้านเทคโนโลยี
โดยการรู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับภูมิปัญญา
ชาวบ้านของเรา และสอดคล้องเป็นประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมของเราเอง
5. ความพอดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม
โดยการรู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด และที่สำคัญก็คือ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศในการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
นี่คือความพอดี 5 ประการ
เป็นหลักการตาม “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ ล้นเกล้า ร.9 ที่พระราชทานให้ไว้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2518
โดยเฉพาะเนื้อหาสำคัญที่ว่า
“...เศรษฐกิจพอเพียงมิได้หมายถึงระบบเศรษฐกิจปิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ค้าขาย ไม่ส่งออก ไม่ผลิตเพื่อคนอื่น แต่เป็นแนวคิดที่เน้นการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน บนรากฐานที่เข้มแข็ง ให้ใช้หลักการตนเป็นที่พึ่งของตนเองให้ได้ก่อน จากนั้นจึงพัฒนาตนเองเพื่อให้มีคุณภาพแห่งชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้และนำไปสู่สังคมที่มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกันในที่สุดพอมีพอกินเป็นขั้นที่ 1 ขั้นต่อไปให้ยืนได้ด้วยตนเอง และขั้นที่ 3 ให้นึกถึงผู้อื่น...”
ยกเรื่อง “ความรู้จักพอ จะไม่ก่อปัญหาให้กับตัว”มาพูดให้ฟังในวันก่อนสิ้นปีเก่านี้ ก็เพราะเห็นว่าการบริหารบ้านเมืองในช่วงสามปีกว่าที่ผ่านมานั้นทิศทางที่โลดแล่นไปดูจะเกินพอดี 5 ประการ ตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ชอบยกมากล่าว
บางอย่างที่ไม่สมควรจะทำในเวลานี้ เพราะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ดี ก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของชาวบ้านไปใช้จ่ายซื้อโน่นซื้อนี่ ด้วยมูลค่าสูง โดยเฉพาะการซื้อเรือดำน้ำ รถถังเป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของบ้านเมืองที่กำลังไม่ดี ชาวบ้านยังอดมื้อกินมื้อ บางคนไม่มีจะกินด้วยซ้ำไป รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่ผู้คนในบ้านเมืองพากันอิดหนาระอาใจอยู่ในขณะนี้จากความไม่รู้จักพอ
ผู้ใดรู้จักพอ ก็จะไม่ก่อปัญหาให้กับตัว
แต่ถ้าผู้ใดไม่รู้จักพอ ก็ให้รอพายุใหญ่ที่กำลังมาถึง
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี