วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
กระทรวงศึกษาธิการวางแผนเดินหน้ายุบ ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก 15,000 แห่งทั่วประเทศ โดยประมาณครึ่งหนึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในภาคอีสานขณะที่ชุมชนชาวบ้านคัดค้านไม่อยากให้ยุบโรงเรียนในตำบลของเขา ลูกหลานจะเกิดความยากลำบากในการเดินทางไปโรงเรียน
ปัญหาที่กระทรวงศึกษาฯ จะยุบหรือเรียกให้ฟังดูดีว่า ควบรวมโรงเรียน มีสาเหตุมาจากที่ปัจจุบันมีจำนวนเด็กนักเรียนน้อยลงมาก ทั้งนี้เพราะเด็กที่เกิดใหม่ มีอัตราการเกิดน้อยลงอย่างมาก หากมองปัญหาที่ปลายเหตุเมื่อมีเด็กนักเรียนน้อย ก็ต้องยุบหลายโรงเรียน นำเด็กไปรวมเรียนที่โรงเรียนเดียว โดยพิจารณาแต่เพียงว่าจะให้เด็กนักเรียนเดินทางไปเรียนไม่เกิน 6 กิโลเมตร และแก้ปัญหาว่าจะนำผู้อำนวยการและครูของโรงเรียน ที่ยุบไปรวมในโรงเรียนที่เปิดสอนอย่างไร จะบริหารจัดการอย่างไร ที่โรงเรียนหนึ่งมีผู้อำนวยการ 2-3 คน จะไล่ออก ปลดออก ก็ไม่ได้
หากจะพิจารณาในองค์รวมของปัญหาจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีปัญหาที่โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน สัดส่วนประชากรในวัยเด็กมีจำนวนน้อยลง แต่สัดส่วนของผู้สูงอายุมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะในช่วงปี พ.ศ.2493 – 2513 ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่มากเป็นประวัติการ หรือที่เรียกว่าช่วง “Baby Boom”
หลังปี 2513 อัตราการเกิดลดลงอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน ทำให้โครงสร้างประชากรในอดีตที่มีลักษณะเป็นพีระมิด คือ เป็นสามเหลี่ยมยอดแหลม ซึ่งหมายความว่ามีผู้สูงอายุจำนวนน้อย และมีประชากรรุ่นต่อๆ มาในจำนวนที่มาก แต่ในปัจจุบันภาคพีระมิดประชากรดังกล่าวได้กลายเป็นพีระมิดหัวกลับ หรือเป็นรูปหัวคฑา กล่าวคือ มีสัดส่วนของผู้สูงอายุจำนวนมาก คนวัยทำงานมีสัดส่วนเล็กลง และสัดส่วนของเด็กยิ่งเล็กลงไปตามลำดับ
.jpg)
.jpg)
ปัญหาของสังคมสูงวัยที่มีโครงสร้างประชากรดังกล่าว จึงเป็นปัญหาของสังคมไทยที่ไม่ควรพิจารณาแต่เฉพาะเด็กที่น้อยลงเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาในภาพรวม เพราะหากพิจารณาแต่จำนวนเด็กที่น้อยลง กระทรวงศึกษาธิการผู้รับผิดชอบด้านการศึกษา ก็จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการยุบ ควบรวม โรงเรียนเข้าด้วยกัน
หากจะแก้ปัญหาโดยดูสภาพองค์รวมทั้งระบบ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ ชุมชนชนบทจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น หากสภาพโรงเรียนในตำบลที่ว่างมากขึ้น จะได้นำสถานที่ของโรงเรียนและครูที่ว่างมากขึ้น ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับชุมชนและท้องถิ่น โดยแปลงโรงเรียนเป็นโรงเรียนของคนสามวัย คือ มีทั้งวัยเด็ก วัยผู้สูงอายุ และวัยพ่อ แม่ ของเด็ก
ผู้สูงอายุที่จะมีจำนวนมาก จะได้รวมตัวเป็นชมรมทำกิจกรรมร่วมกันที่โรงเรียน ขณะเดียวกันมีกิจกรรมร่วมกับเด็กนักเรียน มีการเรียนการสอนที่จะใช้ประโยชน์จากผู้สูงอายุในท้องถิ่นซึ่งเป็น“ผู้เชี่ยวชาญชีวิต” มีประสบการณ์ ทั้งด้านความคิด การทำมาหากิน วัฒนธรรม และประวัติของชุมชน
เด็กก็จะได้เรียนรู้โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญชีวิตผู้สูงอายุก็จะมีความสุขที่ได้บอกกล่าวสั่งสอนลูกหลานและทำกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน พ่อ แม่ ของเด็กก็จะได้เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน เพราะทั้งลูกและพ่อ แม่ ของเขา ก็มีกิจกรรมร่วมกันที่โรงเรียนอยู่แล้ว
.jpg)
โรงเรียนจะเปลี่ยนชื่อเป็นสถานเรียนรู้ หรือศูนย์เรียนรู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จะขึ้นอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือไม่ก็ได้ อาจจะมีทางเลือกที่จะกระจายอำนาจทางการศึกษาในระดับประถมให้กับท้องถิ่นและชุมชน ในการเข้าร่วมเพื่อจัดการการศึกษามากขึ้น
การศึกษาของไทยจะได้ไม่เป็นรูปแบบเบ็ดเสร็จตายตัว ที่คนทุกภูมิภาคเรียนรู้เรื่องเดียวกัน ซึ่งกำหนดจากกระทรวงศึกษาธิการ ที่อยู่กรุงเทพมหานคร
คนภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ย่อมมีวัฒนธรรม มีสภาพแวดล้อม มีปัญหาที่แตกต่างกันการเรียนรู้ของแต่ละท้องถิ่นจะได้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในชุมชน ซึ่งจะมีทั้งเหมือนกันในทุกภาค และแตกต่างกันในบางเรื่อง
กระทรวงศึกษาธิการ ควรผันตนเองเป็นเพียงหน่วยงานที่กำกับ ตรวจสอบ ให้ความรู้และข้อแนะนำเพื่อเอื้ออำนวยให้แต่ละท้องถิ่น ตัดสินใจดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดการศึกษาของไทยล้มเหลว ส่วนเหนึ่งก็เกิดจากการบริหารจัดการที่รวมศูนย์ ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น
หากจะยึดปรัชญาการศึกษาที่ว่า การศึกษาก็คือการทำให้คนสามารถเรียนรู้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน จำเป็นที่จะต้องให้ชุมชน และท้องถิ่นเลือกที่จะให้การศึกษาแก่บุตรหลานของเขา ให้รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมในท้องถิ่นของเขาอย่างไร
ไม่ใช่คนทั้งประเทศเรียนรู้เรื่องเดียวกันกำหนดจากส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้คนในท้องถิ่นอยู่บ้านของตนเองก็ไม่สะดวกสบาย เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในท้องถิ่นของตนเอง ต้องย้ายและผันตนเองไปทำงานที่ส่วนกลาง ชนบทจึงสูญเสียสมองและปัญญาของท้องถิ่น การศึกษาที่ผู้เรียนยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้จักบ้านของตนเอง ก็จะเป็นการศึกษาที่ดูดทรัพยากรบุคคลที่มีปัญญาออกจากท้องถิ่น
น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะมีโรงเรียนและครูในโรงเรียนขนาดเล็กในตำบลต่างๆ มีสถานที่และกำลังครูว่างมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้โรงเรียนร้าง ส่งคืนโรงเรียนและที่ดินให้กับกรมธนารักษ์เพราะถือเป็นที่ของราชพัสดุ ก็จะได้นำมาใช้ประโยชน์ให้กับชุมชนและท้องถิ่น
นอกจากโรงเรียนจะเป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมกันของคนสามวัยแล้ว ยังอาจเป็น “ศูนย์อยู่ดี” (Universal Design) สำหรับคนทุกวัย เพราะในอนาคตอันใกล้ จะต้องออกแบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ทุกท้องถิ่นจะต้องปรับสภาพแวดล้อม ทั้งบ้าน วัด อาคารสาธารณะ ถนนหนทาง ให้สอดคล้องกับสังคมที่จะมีผู้สูงอายุจำนวนมาก การกระตุ้นให้ทุกบ้านและทุกหน่วยงานได้ปรับสภาพแวดล้อมของตน เพื่อให้เหมาะสมใช้ได้กับคนทุกวัย ทุกประเภท ทั้งวัยสูงอายุ วัยเด็ก และผู้พิการ ก็จะเป็นการลดอุบัติเหตุจากการพลัดตกหกล้ม ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากการพลัดตก หกล้ม สูงมากกว่าการปรับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก
ในปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากการพลัดตก หกล้ม วันละ 3 คน หรือ ปีละประมาณ 1,000 คน และยังมีผู้บาดเจ็บพิการอีกจำนวนหนึ่ง หากไม่เตรียมการสร้างระบบรองรับทั้งในชุมชนท้องถิ่นและในเมือง อนาคตก็จะมีปัญหาที่จะมีผู้พิการและเสียชีวิตจำนวนมากกว่านี้ จำต้องตระหนักว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์“ล้มหนึ่งคน เจ็บทั้งบ้าน”
กระทรวงศึกษาธิการ ไม่ผิดหรอกครับ ที่จะคิดแก้ปัญหาของโรงเรียนที่มีเด็กจำนวนน้อย ด้วยการยุบ ควบรวม โรงเรียน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนเอง แต่รัฐบาลส่วนกลางจะต้องมีวิสัยทัศน์เห็นภาพโดยรวมของปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แปลงวิกฤติเด็กน้อย โรงเรียนและครูว่างมากขึ้น ให้เป็นโอกาสสำหรับการมีแหล่งเรียนรู้ร่วมของคนสามวัย “โรงเรียนสามวัย” หรือ “ศูนย์เรียนรู้สามวัย” หรือชื่ออื่นใดที่เหมาะสมก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการศึกษาและเรียนรู้อย่างแท้จริง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

หลอกคนแก่ลงทุน! เพจดังแฉผู้วิเศษรายใหม่อ้างเป็นพระศรีอาริยะ
'บิ๊กโจ๊ก'เคลียร์ปม ไม่ปราบเว็บพนัน ไร้อำนาจเหตุถูก 'บิ๊ก ต.' เด้ง
แฟนบอลเตรียมตัว! เปิดช่องทางชมสด'หมอนทองวิทยา'ดวล'อบจ.ชัยนาท'
เหิม! เด็กแว้นพัทลุงซิ่งป่วนเมือง เฉี่ยวรถชาวบ้านไม่พอยังปิดล้อมรถผู้เสียหายอีก
เริ่มคลี่คลาย! ป่าโมกยังมีน้ำท่วมบางจุด รถใหญ่สัญจรได้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี