การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ทั้งในระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตยฟันปลอม) ได้ปลุกจิตสำนึกคนไทยให้เลิกทะเลาะกันด้วยคำเตือนนักการเมืองที่ต้องการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงและยั่งยืนคำเตือนนี้ไม่ใช่เตือนเฉพาะนักการเมืองบางคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วยทั้งนี้เพราะในสังคมประชาธิปไตยนั้น นักการเมืองรวมทั้งประชาชนย่อมมีความเห็นต่างได้ แต่ในเวลาเดียวกันความเห็นดังกล่าวฝ่ายที่เห็นต่างต้องยอมรับฟังความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยไม่ใช่จะยึดถือความเห็นของตนเป็นสำคัญ ดังที่ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า “สังคมประชาธิปไตยนั้น เปรียบเสมือนนักมวยขึ้นเวทีชกกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งต้อนคู่ต่อสู้เข้ามุม แทนที่ฝ่ายต้อนจะน็อกคู่ต่อสู้ กลับยกแขนให้คู่ต่อสู้ลอดออกไป”
เป็นการเปรียบเทียบทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะไม่ทำลายฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำให้ย่อยยับไปถ้าทำเช่นนั้นก็หมายถึงเป็นการปกครองระบอบเผด็จการไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งปรากฏในเวทีการเมืองของประเทศไทยนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นักการเมืองของประเทศไทยไม่ว่ากลุ่มใดที่ได้เป็นรัฐบาลมักจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยการกำจัดด้วยวิเทโศบายต่างๆ รวมทั้งวิธีการที่เปรียบได้กับการเอากล้วยให้ลิงกิน เพราะนักการเมืองรวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ขาดจิตและวิญญาณแห่งประชาธิปไตยจึงเกิดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงทั้งในการเลือกตั้งตัวแทน และเมื่อได้เป็นตัวแทน คือ ผู้แทนราษฎรแล้วรวมทั้งกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองยอมเป็นลิงที่มีคนเอากล้วยมาเลี้ยงเกือบทุกกลุ่มทุกพรรค บางกลุ่มหัวหน้าไม่ยอมกินกล้วยจนต้องอำลาพรรคไป เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ในพรรคยอมรับกล้วย และในบางเวลาพรรคทั้งพรรคหรือกลุ่มก็ถูกซื้อด้วยอามิสสินจ้างเป็นเงินก้อนใหญ่ ถ้าเปรียบเสมือนลิงกลุ่มหนึ่งยอมรับกล้วยทั้งเครือโดยยอมเข้าอยู่ในอาณัติเจ้าของกล้วย
สรุปรวมความว่า ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบคณา (ธนา) ธิปไตย แต่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยมาแล้ว 87 ปี ถ้าเป็นมนุษย์ก็เข้าสู่วัยชราแล้ว แต่แสงสว่างแห่งประชาธิปไตยแทบไม่เคยเกิดหรือเกิดก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เป็นการปกครองโดยระบอบเผด็จการหรือคณาธิปไตยทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ตลอดมา ในการปกครองครั้งหลังสุดของระบอบเผด็จการซึ่งประชาชนหวังว่าคณะปฏิวัติจะทำการปฏิรูปการปกครองโดยวางรากฐานให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย
แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 5 ปี สังคมก็มิได้เปลี่ยนแปลงในทุกองคาพยพเลย แสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่เห็นริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์กลับหายวับไป แต่จะโทษใครไม่ได้นอกจากประชาชนชาวไทยเองที่ไม่ยอมหลุดพ้นจากสังคมคณาธิปไตยบวกกับธนาธิปไตยกลายเป็นสังคมอำมาตยาธิปไตยในรูปใหม่ๆ ฉะนั้น กว่าสังคมไทยจะเป็นสังคมที่ประธานาธิบดี ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาที่กล่าวไว้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครอง “ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยเกือบจะหลุดพ้นแต่สลัดไม่หลุดจากการปกครองโดยระบอบอำมาตยาธิปไตยบวกธนาธิปไตย
ถ้าอยากเห็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดและหยั่งรากในสังคมการเมืองของประเทศไทย ประชาชนเท่านั้นต้องช่วยตัวเองที่จะทำให้ความฝันเป็นความจริง อย่าไปหวังว่าใครจะมามอบอำนาจให้นอกจาก ตัวเราเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี