คนรุ่นเก่าก็คือคนรุ่นใหม่ที่มีอายุมากขึ้น ส่วนคนรุ่นใหม่ก็คือคนที่จะกลายเป็นคนรุ่นเก่าในอนาคต หากคนรุ่นใหม่ไม่ด่วนลาโลกไปเสียก่อน
ประเทศไทยมีกระแสปะทะอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้คือคนรุ่นเก่าบอกว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้เรื่อง เพราะไม่รับผิดชอบสังคม แถมใช้ชีวิตไปตามกระแส โดยไม่สนใจรากเหง้าของตนเอง ส่วนคนรุ่นใหม่ก็บอกว่าคนรุ่นเก่าไม่ได้เรื่อง เพราะสร้างปัญหามากมายทิ้งไว้ให้คนรุ่นใหม่
น่าประหลาดและน่าสังเวชที่เกิดความคิดแบบเชิงอุบาทว์ เช่นนี้ในสังคมไทย และต้องบอกว่าน่าวิตกมาก หากกระแสความคิดนี้แพร่กระจายไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหักได้ในสังคมไทย
ทำไมคนรุ่นเก่าไม่มองว่าคนรุ่นใหม่มีวิธีคิดตามแบบตามยุคสมัยของเขา แล้วทำไมไม่มองว่าการที่คนรุ่นใหม่คิดเช่นนั้น ก็เป็นว่าเพราะเขาได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวคนรุ่นใหม่ก็มาจากการสร้างสมของคนรุ่นเก่า แล้วก็ขวางหูขวางตากับการกระทำของคนรุ่นใหม่ไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่ยอมมองว่าการคิดต่างเป็นวิวัฒนาการของสังคม เพราะสังคมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย
ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่เคยคิดเช่นกันว่า การที่ตัวเองสามารถเติบโตขึ้นมาได้ก็เพราะได้รับการดูแลสนับสนุนจากคนรุ่นเก่า หากคนรุ่นเก่าไม่ดูแลไม่เลี้ยงดูคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดีแล้ว ไฉนเลยคนรุ่นใหม่จะมีโอกาสเติบโตขึ้นมาได้ แต่ที่น่าตกใจมากที่สุดคือ คนรุ่นใหม่บางจำพวกก็มองโลกแบบสุดโต่งว่า การกระทำทุกอย่างของคนรุ่นเก่าเป็นไดโนเสาร์ ตกยุค ล้าสมัย คนรุ่นใหม่จำพวกนี้จึงเป็นคนชนิดต่อต้านระบบเดิมๆ ทุกอย่าง โดยไม่แยกแยะว่าสิ่งใดมีความสำคัญ จำเป็นที่จะต้องธำรงรักษาไว้
คนรุ่นใหม่ที่มองว่าคนรุ่นเก่าเชย เป็นเต่าล้านปี ก็คือคนที่จิตใจคับแคบ และไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ ส่วนคนรุ่นเก่าที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ มองว่าเป็นพวกขวางโลกก็ถือได้ว่าเป็นคนใจแคบ และไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม แล้วที่สำคัญคือเป็นพวกที่ลืมว่าวันหนึ่ง พวกเขาก็อาจจะเคยมีความคิดกบฏมาก่อนเช่นกัน
หากคนทั้งสองรุ่นเปิดใจให้กว้างแล้ว สังคมไทยจะไม่เกิดปัญหาการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง แต่จะสามารถหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันได้ด้วยเหตุด้วยผล แล้วช่วยกันนำพาให้สังคมไทยก้าวหน้าไปได้อย่างเหมาะสมทันกับสถานการณ์ของโลกที่แปรเปลี่ยนไปตามกระแสพลวัต
ลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าสังคมไทยในอดีตนั้น คนรุ่นเก่าไม่เคยต่อต้านและขัดขวางพัฒนาการของคนรุ่นใหม่ ตัวอย่างในเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องกับรัชกาลที่ 4 หากคนไทยทุกคนกลับไปพิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในยุคนั้นเป็นอย่างดีแล้วจะพบว่า คนไทยไม่เคยปฏิเสธความคิดของกันและกัน แต่สามารถโอนอ่อนเข้าหากันได้เป็นอย่างดีเพราะทุกคนสามารถยอมรับความคิดเห็นของกันและกัน และไม่เคยปฏิเสธของใหม่ แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งของดั้งเดิม โดยนำทั้งสองสิ่งเข้ามาผสมผสานให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
สังคมไทยมีรากฐาน มีความเป็นมา ยิ่งเรามีรากฐานที่ลึกและมั่นคง สังคมของเราก็จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามกระแสพลวัตโลกได้อย่างแนบเนียน แต่ถ้าหากเรามีความตื้นเขิน ไม่รู้รากฐานของตนเอง สังคมของเราก็จะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เมื่อเราปรับตัวไม่ได้ สังคมก็จะล่มสลายในที่สุด
เพราะฉะนั้น แทนที่คนแต่ละรุ่นจะมัวแต่ชี้หน้าด่าประณามกันไป-มา แล้วหันกลับมาคุยกันอย่างเปิดอก คุยกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ รับฟังเหตุผลของกันและกัน สิ่งนี้จะช่วยให้สังคมไทยก้าวไปได้อย่างมั่นคง และสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมตามกระแสพลวัตของโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี