การรณรงค์ของประชาชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยและสารพิษได้ยกระดับการรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้สารพิษในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะคณะแพทย์ชนบทได้ยื่นคำขาดว่าถ้าหากภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ยังไม่ยกเลิกการใช้สารพิษก็พร้อมนำประชาชนทั่วประเทศลงสู่ท้องถนนเดินขบวนรณรงค์ครั้งใหญ่
สำหรับรัฐบาล ล่าสุดปรากฏการณ์ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก ยึกๆ ยักๆ ประหนึ่งว่ามีอะไรตำคออยู่ก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น กระทั่งบางแหล่งที่ถูกจับจ้องมองว่าได้รับผลประโยชน์ก้อนใหญ่จากการไม่ยกเลิกสารพิษก็ผวาต่อสายตาของสังคม ไม่อาจบิดพลิ้วได้อีก
ข่าวคราวที่ปรากฏชัดเมื่อเที่ยงวันที่ 16 ตุลาคม 2562 จึงสรุปได้ชัดเจนแล้วว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวงมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะให้ยกเลิกการใช้สารพิษแล้ว
โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามในเอกสารราชการตามข้อเสนอของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการใช้
สารพิษ จนกระทั่งได้ฉายาว่าเป็นสตรีเหล็กของรัฐบาล และเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียวที่มีผลงานเข้าตาประชาชน
โดยได้ลงนามในเอกสารถึงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ยกเลิกการใช้สารพิษแล้ว
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดยุติ เพราะยังมีร่องรอยหลายประการที่ส่อว่ายังมีเงื่อนงำและสถานการณ์อาจพลิกผันเป็นอย่างอื่นได้อีก ที่สำคัญคือ
ประการแรก ท่าทีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้ไม่มีความชัดเจน ทั้งๆ ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล และหลายเรื่องก็ฟันธงตัดสินใจในปัญหาต่างๆ แต่ในเรื่องนี้กลับไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ การฮัมเพลงตอบคำถามผู้สื่อข่าวก่อให้เกิดความงุนงงสงสัยว่าเอาอย่างไรกันแน่ ในขณะที่สายตาประชาชาติไทยก็กำลังจับตานายกรัฐมนตรีอยู่อย่างไม่กะพริบตา ด้วยความไม่แน่ใจว่าที่การยกเลิกสารพิษไม่คืบหน้าไปไหนนั้นเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ดังนั้นจึงมีการเรียกร้องมากขึ้นโดยลำดับให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจในเรื่องนี้
ประการที่สอง ได้บังเกิดขบวนการรณรงค์เพื่อให้ใช้สารพิษต่อไปหนาหูหนาตาขึ้น ถึงขั้นโกหกหลอกลวงประชาชนทางสาธารณะว่าสารพิษเหล่านี้ไม่มีโทษ ไม่เคยทำให้ประชาชนล้มตายหรือป่วยเจ็บ โดยไม่ยี่หระต่อความเป็นจริงที่คนไทยรู้ทั่วกันทั้งประเทศแล้ว
ประการที่สาม ได้เกิดขบวนการข่มขู่คุกคามนักวิชาการ ผู้นำมวลชน และผู้นำภาคประชาสังคมที่รณรงค์ให้ยกเลิกการใช้สารพิษ ทั้งในเรื่องการดำเนินคดีและการปองร้ายหมายเอาชีวิต
แม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ยังต้องเปิดเผยข่าวคราวการถูกข่มขู่คุกคาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าขบวนการสารพิษนี้ไม่เพียงแต่จะอำมหิตกับประชาชนเท่านั้น แต่ยังฮึกเหิมลำพองในอิทธิพลอำนาจมืดของตน มิได้ยำเกรงรัฐบาล
เพราะเรื่องนี้คนระดับรองนายกรัฐมนตรีก็เคยเอาข่าวคราวมาแฉ ถึงขนาดท้าทายให้กระทำต่อรองนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำไป ปานนั้นแล้วข่าวคราวการข่มขู่คุกคามนักวิชาการ ผู้นำภาคประชาสังคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุดเมื่อต้นสัปดาห์นี้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้คร่ำหวอดและมีบารมีมากที่สุดคนหนึ่งของพื้นที่ภาคกลาง เป็นนักการเมืองใหญ่ใจถึงพึ่งได้ ถึงกับต้องออกมาโวยวายต่อสื่อมวลชนว่าขบวนการสารพิษอย่าทำอะไรน้องสาวของตน ซึ่งหมายถึงอย่าปองร้ายข่มขู่คุกคามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ถ้าพูดภาษานักเลงก็คือ มึงมีปืน กูก็มีปืนเหมือนกันโว้ย!
บ้านเมืองเราในยามนี้มีสภาพอย่างนี้ได้อย่างไรและใครมีหน้าที่เกี่ยวข้อง ไฉนเล่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่นำพาต่อเหตุการณ์ข่มขู่คุกคามระดับนี้ เพราะการกระทำดังที่เป็นข่าวนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรงและถือได้ว่าเป็นการหยามหน้ารัฐบาล โดยเฉพาะบรรดาท่านทั้งหลายที่อวดอ้างนักหนาว่ารักชาติและมีอำนาจอยู่ในมือว่าไยไฉนเล่าจึงปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ประการที่สี่ แม้ว่ารัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะแสดงท่าทีที่เห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องยกเลิกการใช้สารพิษแต่โดยกฎหมายจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาตัดสินใจ
แต่ทว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการนั้นเกือบทั้งหมดก็เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบรรดารัฐมนตรีที่ได้แสดงท่าทีต่อสาธารณะว่าจะให้ยกเลิกสารพิษ และบรรดาข้าราชการเหล่านั้นย่อมต้องรับฟังนโยบายของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง หากไม่ทำตามนโยบายของรัฐมนตรีก็อาจจะถูกปลด ถูกโยกย้ายได้
ดังนั้นว่าโดยปกติคณะกรรมการจะต้องมีมติไปในทางเดียวกันกับรัฐมนตรีผู้มีอำนาจทั้งหลาย เหตุนี้ถ้าผลการพิจารณาพลิกล็อกกลับกลายเป็นว่าคณะกรรมการไม่ยกเลิกการใช้สารพิษ ก็ขออย่าได้คิดว่าข้าราชการประจำไม่ยอมรับนโยบายจากรัฐมนตรีหรือฝ่าฝืนไม่ทำตามนโยบายของรัฐมนตรี
และอย่าห้ามประชาชนที่จะคิดว่านี่คือการเล่นลิเกการเมืองแหกตาประชาชนนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะได้เห็นม็อบใหญ่หลั่งไหลจากทั่วประเทศลงสู่ท้องถนนเข้าเมืองเป็นแม่นมั่น!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี