วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
การก้าวล่วงอำนาจตุลาการที่ศาลใช้ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับกรณีชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ทำให้นักโทษคนสำคัญไม่ต้องถูกจำคุกแม้แต่วันเดียว เป็นการย่ำยีความเป็นธรรมและกระบวนการยุติธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือเป็นการย่ำยีพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีพระเมตตาคุณพระราชทานอภัยโทษจากจำคุก 8 ปีให้เหลือจำคุกเพียง 1 ปี เพื่อให้นำความรู้และประสบการณ์มาช่วยเหลือประเทศชาติ ด้วยการไม่ยอมถูกจำคุกเลยแม้แต่วันเดียว แล้วสมคบกันย่ำยีทั้งกระบวนการยุติธรรมและพระบรมราชโองการดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ต้องมีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรต่างๆ อยู่ในขณะนี้
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกประดังเข้ามา นั่นคือกรณีที่ดินเขากระโดงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระเมตตาคุณแก่พสกนิกร พระราชทานที่ดิน 5,083 ไร่ ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยเฉพาะคือการระเบิดและย่อยหินที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดของประเทศเพื่อใช้ทำเป็นรางรถไฟ
ความจริงพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถือเป็นกฎหมาย มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ให้ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ดังกล่าว
ตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ แม้จะทรงทราบว่าพระบรมราชโองการนั้นมีผลเป็นกฎหมาย แต่เพื่อให้มีความมั่นคงต่อไปในอนาคต จึงทรงออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ นั้นให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ดังนั้นที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาในรัชกาลที่ 6 และตามพระบรมราชโองการในรัชกาลที่ 5 จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ต่อมาก็มีนักการเมืองเข้ายึดครองเอาเป็นของตนเสีย โดยผู้บริหารที่รับผิดชอบก็เพิกเฉยละเลยไม่ทักท้วงคัดค้าน จนกระทั่งมีการขอออกเอกสารสิทธิเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของเอกชนไปอย่างหน้าตาเฉย
ต่อมานายวีระ สมความคิด ได้ยื่นคำร้องเรียนหลายหน่วยงาน เพื่อเอาที่ดินเขากระโดงกลับมาเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย จนในที่สุดอัยการและการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงนี้ มีการต่อสู้คดีกันถึงสามศาล
ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกในนามของเอกชนและนักการเมืองไปเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ศาลฎีกาพิพากษาแล้วก็มีการทิ้งเรื่องร้างค้างคาไม่ดำเนินการใดๆ คือการรถไฟแห่งประเทศไทยก็ไม่ดำเนินการเอาที่ดินคืน กรมที่ดินก็ไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิตามคำพิพากษาของศาลฎีกา นักการเมืองที่กำกับดูแลสองหน่วยงานนี้ก็ช่วยกันกลบเรื่องไว้เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ปล่อยให้เอกชนซึ่งรู้กันทั้งประเทศว่าเป็นนักการเมืองใหญ่เป็นเจ้าของครองที่ดินเขากระโดงต่อไปจนถึงทุกวันนี้
การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา จึงมีผลเท่ากับเป็นการเหยียบย่ำทำลายคำพิพากษา และทำให้เรื่องอัปยศนี้ค้างคาอยู่จนถึงขณะนี้
แต่ทว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนที่รักชาติรักแผ่นดินมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แม้กระนั้นรัฐบาลโดยเฉพาะระดับรัฐมนตรีก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่สนใจแตะต้องเรื่องนี้ เพราะพลังอำนาจทางการเมืองอันทะมึนได้เหยียบย่ำประเทศไทยอยู่ใต้อุ้งตีนอย่างแน่นหนา
แต่ในที่สุดเมื่อองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องลงมือตรวจสอบไต่สวน ข้าราชการซึ่งมีหน้าที่ก็ร้อนตัว แต่ด้วยอำนาจทางการเมืองก็ไม่ได้สำนึกในหน้าที่โดยสุจริต และใช้เล่ห์เพทุบายตั้งกรรมการตรวจสอบที่ดินเขากระโดงว่าเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการเหยียบคำพิพากษาไว้ใต้อุ้งเท้า ศาลฎีกาไว้ใต้อุ้งตีน และตั้งตนมีอำนาจเหนือศาล อันเป็นการทำลายอำนาจตุลาการและความศักดิ์สิทธิ์ของพระปรมาภิไธยแห่งพระมหากษัตริย์
คณะกรรมการตรวจสอบดำเนินการอย่างเร็วรี่ล่าสุดได้มีมติว่าไม่ต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง เพราะหลักฐานไม่ชัดเจนว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือไม่ นี่คือความอัปยศยิ่งใหญ่ของชาติอีกเรื่องหนึ่งที่ย่ำยีหัวใจคนไทยทั้งประเทศอย่างรุนแรง เพราะเป็นการเหยียบย่ำทำลายกระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
มติดังกล่าวนี้ไม่เห็นพระบรมราชโองการในรัชกาลที่ 5 ที่พระราชทานที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ในสายตาเลย
ไม่ยอมรับพระราชกฤษฎีกาในรัชกาลที่ 6 ที่เวนคืนที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ให้เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ฉีกและเหยียบคำพิพากษาศาลฎีกาถึงสองฉบับ ที่พิพากษาว่าที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่กรมที่ดินออกให้แก่เอกชนโดยผิดกฎหมายให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
นี่คือการบ่อนเซาะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญควรเรียกเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย
และเป็นเรื่องที่องค์กรอิสระต่างๆ ที่มีหน้าที่ควรจะขยายผลตรวจสอบไต่สวนเอาคนชั่วชาติของแผ่นดินมาจำคุกเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
และเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วประเทศจะต้องตื่นตัวขึ้นปฏิเสธอำนาจของนักการเมืองชั่วที่ย่ำยีบ้านเมืองในลักษณะล้มล้างการปกครองในลักษณะนี้จนถึงที่สุด

‘Tilly Birds’ มอบค่ำคืนสุดอบอุ่นใน “A Night Called Heaven” ให้แฟนๆ ฟิน
BEARBEARY แบรนด์ยีนส์ เปิดตัวไลน์ผู้ชายครั้งแรก ดึง ‘มิกกี้ นนท์ อัลภาชน์’ ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์
เปิดข้อมูล! มนุษย์เงินเดือน แบกหนี้อ่วม รายได้เกินแสนก็ไม่รอด ยังใช้ชีวิต'เดือนชนเดือน'
ศึกสตรีทฟู้ดตลาดศรีเมือง 'Chef Fest Thailand SS3' น้ำตาแตก!
‘ผบ.ทสส.’ประชุม‘ผบ.เหล่าทัพ’นัดแรก ให้ความสำคัญสูงสุดรักษาอธิปไตยไทย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี