เหตุการณ์โจมตีสังหารชุดคุ้มครองหมู่บ้านที่จังหวัดยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ และบาดเจ็บ อีก 5 คน นับเป็นกรณีเกิดความเสียหายร้ายแรงจำนวนมากที่สุดในรอบระยะเวลาหลายปีมานี้ และที่สำคัญเกิดเหตุใหญ่ขึ้นที่จังหวัดยะลา แทนที่จะเกิดขึ้นที่จังหวัดนราธิวาสเหมือนกับเหตุการณ์ร้ายแรงอื่นๆ ที่เคยมีมาแล้ว
เป็นการเกิดเหตุในห้วงเวลาส่งท้ายการปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน เป็นการเกิดเหตุในช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนผู้ดูแลรับผิดชอบจาก
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เคยกำกับสั่งราชการกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ และหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ
เป็นการเกิดเหตุหลังการจัดตั้งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 และเป็นการเกิดเหตุหลังการจัดการปราศรัยใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงเป็นเหตุให้คนบางพวกกล่าวหาว่าเป็นเพราะพรรคฝ่ายค้านจึงเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ถึงขนาดขับไล่ไสส่งไม่ให้ร่วมแผ่นดินกันไปโน่น
ก็ต้องบอกว่าเหตุร้ายครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการปราศรัยของพรรคฝ่ายค้าน ไม่เกี่ยวกับนายทักษิณ ชินวัตร และไม่เกี่ยวกับการสร้างความกดดันต่อรัฐบาลประยุทธ์ 2 และไม่ใช่ความผิดพลาดใดๆ ของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ซึ่งเพิ่งตั้งมาไม่กี่เดือน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสั่งสมและสุมรุมมานานแล้ว
เริ่มตั้งแต่ยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคงในขอบเขตทั่วประเทศและส่วนที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย รัฐบาลนั้นประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการยุติศึกสงครามทั้งสงครามกลางเมืองและสงครามโดยรอบประเทศอย่างสิ้นเชิง
ในปี 2526 สงครามกลางเมืองสิ้นสุดยุติลงเด็ดขาดจนถึงปี 2529 สภาพความขัดแย้งและสงครามทุกแนวรอบประเทศสิ้นสุดยุติลงโดยเด็ดขาด ประเทศไทยได้กลับฟื้นคืนสู่ความสงบและการพัฒนาอย่างโดดเด่นท่ามกลางความมั่งคั่งของประเทศชาติ จนตกทอดไปถึงรัฐบาลพลเอกชาติชายชุณหะวัณ
จนกระทั่งปี 2547 ไฟสงครามที่สงบลงไปแล้วก็คุโชนขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่อยากจะพูดถึงสาเหตุเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระทบกระทั่งกันอีก นั่นก็คือเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง เป็นเหตุการณ์เสียหายร้ายแรงครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดฝัน
หลังเกิดเหตุครั้งนั้นแล้ว คนมีอำนาจก็ตั้งธงว่าถ้าฆ่าผู้ก่อความไม่สงบสัก 200 คน ก็จะเกิดความสงบสุขขึ้น ดังนั้นการใช้มาตรการขวาจัดและทำลายล้างอย่างเฉียบขาดจึงเกิดขึ้น ฆ่ากันไปฆ่ากันมา ไม่ช้านานความไม่สงบก็ขยายตัวลุกลามไปทั่วทั้งพื้นที่สามจังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสี่อำเภอ ของจังหวัดสงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย
เกิดความไม่สงบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนกระทั่งมีการตั้งงบประมาณในจำนวนที่สูงสุดที่เคยใช้ในพื้นที่นั้น เป็นจำนวนวงเงินโดยประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อแก้ไขปัญหา
ในห้วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และทรงแจ่มแจ้งในสถานการณ์ทั้งหลายที่เป็นไปในพื้นที่นั้นได้พระราชทานแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการนำความสงบกลับคืนพื้นที่ว่า “เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา”
เป็นทั้งยุทธศาสตร์ เป็นทั้งเข็มมุ่ง เป็นทั้งแนวทาง นโยบาย เป็นทั้งกลยุทธ์และยุทธวิธีที่บูรณาการสมบูรณ์แบบที่สุด สะท้อนอย่างล้ำลึกถึงความเข้าพระทัยในสถานการณ์ของพื้นที่ทั้งส่วนเหตุ ส่วนผล อย่างแจ่มแจ้งที่สุด ยิ่งกว่าที่นักยุทธศาสตร์ใดๆ จะเข้าใจและคิดได้
ถ้าหากได้มีการศึกษาน้อมนำปฏิบัติอย่างจริงจัง เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ และด้วยสติปัญญาที่ตั้งอยู่ในธรรม เจริญตามรอยพระบาทของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ประเทศไทยของเราก็คงได้ความสงบสุขและการพัฒนากลับคืนสู่พื้นที่นั้นมาช้านานแล้ว
แต่ทว่าคนมีอำนาจมากหลายดีแต่ปาก ดีแต่พูด แต่ไม่กล้าคิด ไม่ยอมทำ และมิได้เข้าใจและมิได้น้อมนำมาปฏิบัติสมดังพระราชประสงค์ ดังนั้นจึงแทนที่เหตุการณ์จะสงบและเข้าสู่การพัฒนาเพื่อความรุ่งเรืองไพบูลย์และความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น กลับได้มาซึ่งความไม่สงบและความสูญเสียงบประมาณจำนวนมากขึ้นทุกที กระทั่งไม่เห็นวี่แววว่าจะสิ้นสุดยุติได้เมื่อใด
ถ้าคิดจำนวนเงินงบประมาณที่ทุ่มเทลงไปนับตั้งแต่ปี 2547 มาจนถึงบัดนี้ก็น่าจะมีจำนวนประมาณ 300,000 ล้านบาทแล้ว มากล้นเกินถึงขนาดที่สามารถใช้พัฒนาภาคใต้ทั้งภาคให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งและอยู่ดีมีสุขได้ช้านานแล้ว
แต่การหาเป็นไปเช่นนั้นไม่ สิ่งที่เรียกว่ายุทธการปลาหมึกยักษ์กำลังก่อตัว ขยายตัว และใกล้จะเกิดเหตุใหญ่ในไม่ช้าไม่นานนี้แล้ว ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่ติมอร์ อาเจะห์ หรือแม้กระทั่งมินดาเนา ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
โชคดีที่ห้าปีที่ผ่านมานั้น พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ ได้ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงแบบบูรณาการ รวมทั้งการรับผิดชอบความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าวนี้ด้วย จึงทำให้เหตุการณ์ได้สงบลงโดยทั่วไป รวมทั้งได้มีการจัดวางหลายสิ่งหลายอย่างในเชิงป้องกันและป้องปรามไว้อย่างแยบยล โดยคำนึงถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
การเกิดเหตุร้ายที่ยะลาในครั้งนี้เป็นสัญญาณหมายที่สำคัญที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ขั้นใหม่ และเป็นสถานการณ์ที่ใครก็ตามที่รับผิดชอบในปัจจุบันนี้จะต้องใคร่ครวญและเตรียมการอย่างดีที่สุด เพื่อประกันและป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรงไม่ให้เกิดขึ้นให้จงได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี