หลังเกิดกรณีสังหารโหด 15 ชุดคุ้มครองหมู่บ้านของจังหวัดยะลาแล้ว ได้มีการเปิดตัวว่าขบวนการ BRN คือผู้ที่เห็นชอบให้สังหารโหดกรณีนี้ และมีการเปิดตัวอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องถือว่าเป็นการท้าทายต่อรัฐบาลไทยอย่างตรงไปตรงมา
เป็นการเห็นชอบให้สังหารโหดผู้ปฏิบัติงานของรัฐจำนวนมากในสถานการณ์ที่กำลังปิดการประชุมอาเซียน ในขณะที่นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ของมาเลเซียได้ประกาศต่อชาวโลกว่ามาเลเซียคัดค้านการกระทำใดๆที่จะแบ่งแยกดินแดนของประเทศไทย
เพราะนับแต่นายกรัฐมนตรีมหาเธร์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยการร่วมมือกับคู่ปรปักษ์เก่าคือนายอัลวาร์ อิบราฮิม ทั้งๆ ที่เป็นคู่ปรปักษ์ที่รุนแรงและต่อสู้ทางการเมืองกันอย่างยาวนานจนฝ่ายหนึ่งต้องติดคุกติดตะราง และถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ไปขอพบเยี่ยมนายอัลวาร์ อิบราฮิม ถึงในเรือนจำ เพื่อเชิญชวนร่วมมือล้มอำนาจรัฐของนายกรัฐมนตรีนาจิบ
การที่คู่ปรปักษ์ต้องหันมาจับมือกันล้มอำนาจรัฐของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ก็เพราะมีข้อเท็จจริงชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีนาจิบได้รับเงินสนับสนุนจำนวนกว่า 20,000 ล้านบาท จากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลจากความตกลงที่จะให้มาเลเซียเปิดโอกาสให้มีการขยายตัวของนิกายวาฮาบี ซึ่งซาอุดีอาระเบียเป็นศูนย์กลางในประเทศมาเลเซีย
เพราะประเทศมาเลเซียก็เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทย ที่พี่น้องมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่ สำนักคิดชาฟาอี โดยสองผู้นำของมาเลเซียดังกล่าว ต้องการที่จะพิทักษ์สำนักคิดชาฟาอีไว้ให้ดำรงคงอยู่ในมาเลเซียอย่างยั่งยืน และไม่ต้องการให้มีการขยายนิกายวาฮาบีในมาเลเซีย ซึ่งความยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ทำให้ผู้นำทั้งสองสามารถข้ามความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกันได้ชั่วคราว
และได้ร่วมมือกันทางการเมืองล้มอำนาจของนายกรัฐมนตรีนาจิบได้สำเร็จ และในทันทีที่นายกรัฐมนตรีมหาเธร์กลับสู่อำนาจก็ได้ยกเลิกข้อตกลงทั้งหลายที่มาเลเซียทำกับซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งการถอนทหารที่มาเลเซียเคยส่งไปช่วยซาอุดีอาระเบียทำการรบในเยเมนกลับประเทศ
และที่น่าจับตาก็คือ นายกรัฐมนตรีมหาเธร์ได้ตั้งรัฐมนตรีกลาโหมจากชาวชีอะห์เป็นครั้งแรกนับแต่มีการสถาปนาประเทศมาเลเซีย ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่ว่าในโลกนี้ชาวชีอะห์นั้นรู้จักและรู้ใจ รวมทั้งได้การสู้รบกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ราวฮิซบุลลอฮ์ศักราชประมาณ 200 จนกระทั่งนิกายวาฮาบีหายสาบสูญไปเกือบพันปี จนกระทั่งนายพลอังกฤษไปพบผู้สืบทอดนิกายวาฮาบี จึงได้ร่วมมือกันฟื้นฟูนิกายวาฮาบีขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นในการประชุมสุดยอดอาเซียน นายกรัฐมนตรีมหาเธร์จึงได้ประกาศคัดค้านการกระทำใดๆ ที่จะแบ่งแยกดินแดนของประเทศไทย และในฐานะที่มาเลเซียเป็นทั้งสมาชิกสภาศาสนาอิสลามโลก เป็นทั้งสมาชิกสันนิบาตประเทศอิสลามโลกหรือ OIC และเป็นทั้งสมาชิกขององค์การเอกชนของมุสลิม คือรอบิเฎาะห์ ซึ่งเป็นสามองค์กรหลักของชาวมุสลิม ท่าทีของมาเลเซียจึงส่งผลต่อทั่วโลกด้วย
ดังนั้นปฏิบัติการของ BRN ตามที่แถลงยอมรับจึงไม่เพียงแต่ท้าทายรัฐบาลไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายรัฐบาลมาเลเซีย โดยเฉพาะท่าทีของนายกรัฐมนตรีมหาเธร์อย่างโจ่งแจ้งด้วย และแน่นอนว่าไม่ได้แยแสต่อท่าทีที่มีมาแต่เดิมของทั้งสามองค์กรหลักของชาวมุสลิมโลกแต่ประการใดเลย
ก็เป็นที่รู้กันว่าขบวนการ BRN นั้นแรกเริ่มเดิมทีก็มีหน่อเนื้อมาจากอดีตเชื้อสายเจ้าเมืองปัตตานีที่โยกย้ายไปอยู่ในรัฐกลันตัน ครั้นผ่านวันเวลาอันยาวนานก็ก่อเกิดเป็นขบวนการต่างๆ มากมาย รวมทั้ง BRN ด้วย
ซึ่ง BRN เองก็มีท่าทีที่ชัดเจนประการหนึ่งก็คือต้องการเดินหนทางสันติในการเจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อนำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่นั้น เพราะญาติพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกันจำนวนมากก็ยังคงอยู่ในประเทศไทย
ซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไปว่าปัตตานีนั้นเป็นดินแดนของประเทศไทยมาตั้งแต่ครั้งไหนๆ ไม่เคยเป็นรัฐหรือแคว้นอิสระเลย แม้กลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี ก็เคยเป็นดินแดนของประเทศไทยแต่ถูกอังกฤษบังคับยึดเอาเป็นของอังกฤษ แล้วเอาไปวางหมากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นโดยจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย
ดังนั้นปัตตานีแต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นดินแดนของประเทศไทย ไม่ได้มีปัญหาว่าเป็นดินแดนของชาติอื่น เป็นแต่ว่าพี่น้องประชาชนในถิ่นนั้นจำนวนหนึ่งมีเชื้อชาติมลายู เช่นเดียวกับหลายพื้นที่ของประเทศไทยที่มีหลากหลายชาติพันธุ์ ไม่ว่ามอญ ลาว พม่า สิงหล ไตและอื่นๆ
ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เกิดสงครามกลางเมืองอย่างชุลมุนระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์มลายากับมาเลเซีย แต่ตั้งฐานปฏิบัติการในชายแดนของประเทศไทย และร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทยซึ่งสู้รบกับรัฐบาลไทย ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีใครคิดจะแบ่งแยกดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่นั้นเลย
แม้หลังทำสนธิสัญญาสันติภาพที่หาดใหญ่แล้ว ทุกฝ่ายก็ยอมรับนับถือว่าปัตตานีและดินแดนแถบนั้นเป็นของราชอาณาจักรไทย เพราะเหตุนี้องค์กรหลักของมุสลิมทั่วโลกทั้งสามองค์กรซึ่งซื่อตรงต่อหลักธรรมคำสอนก็ได้ยอมรับสิ่งนี้
การที่ BRN เปิดตัวในครั้งนี้แม้ว่าด้านหนึ่งจะเป็นสัญญาณความรุนแรง แต่อีกด้านหนึ่งก็จะเป็นเรื่องดีที่จะได้เปิดหน้าเจรจาหารือกันอย่างสันติ ซึ่งเป็นเป้าหมายและเจตนารมณ์แท้จริงของทุกฝ่าย
ทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่ยินยอมให้ประเทศอื่น หรือองค์กรภายนอกอื่นๆ เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงการเจรจาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะรัฐบาลไทยจะต้องทำความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียที่จะต้องยืนหยัดตามที่นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ได้ประกาศไว้ และคงอำนวยความสะดวกได้ก็เฉพาะเพื่อการเจรจากันเท่านั้น
และขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยด้วยว่าจะใช้ความจริงใจและผู้ที่เข้าใจสภาพสถานการณ์อย่างดีไปรับผิดชอบเรื่องนี้หรือไม่ประการใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี