สำหรับแฟนพันธุ์แท้การเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามเฝ้าจับอาการทางการเมืองของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทุกคนต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลเสียศูนย์ แต่ไม่ใช่เพิ่งจะมาเสียศูนย์ในระยะวันสองวันมานี้ แต่เสียศูนย์มาโดยตลอด และเสียศูนย์แบบต่อเนื่อง
ยิ่งมาระยะหลังๆ นี้ คอการเมืองไทยจะพบว่ารัฐบาลประยุทธ์เกิดอาการเสียศูนย์เป็นประจำ แม้รัฐบาลจะยังคงแสดงความปากแข็งว่ารัฐบาลยังเป็นปกติดี ยังมีความแข็งแกร่ง และยังสามารถดำรงสถานะของผู้มีอำนาจรัฐได้อีกยาวนานก็ตาม แต่คำพูดที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองย่อมแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
ต้องยอมรับว่าหลังจากรัฐบาลประยุทธ์ขึ้นมามีอำนาจรัฐได้อีกครั้ง หลังจากการประกาศผลเลือกตั้ง สส. อย่างทุลักทุเล นับจากวันแรกที่รัฐบาลกระเสือกกระสนอุตส่าห์ตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้จวบจนกระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลชุดนี้ไม่เคยทำให้สาธารณชนประจักษ์ได้เลยแม้แต่น้อยว่า รัฐบาลมีความสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้ แม้รัฐบาลจะพยายามป่าวประกาศตลอดเวลาว่า บ้านเมืองไม่ได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจของประเทศชาติก็มิได้ตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ แต่คำพูดของรัฐบาลไม่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ประชาชนที่มีสติปัญญาต่างจับได้ทุกครั้งว่ารัฐบาลกำลังพูดปดกับประชาชน และพูดปดกับตัวเอง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้รู้แจ้งเห็นจริงว่าประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
นอกจากรัฐบาลจะไม่สามารถแก้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศได้แล้ว ตัวของรัฐบาลเองก็ยังสร้างให้ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาในตัวของรัฐมนตรี และตัวของสส. สังกัดพรรครัฐบาลอีกด้วย ดังเช่น ปัญหาที่เกิดกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มาจากพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้นยังไม่พอ สาธารณชนยังเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมประหลาดๆ ของสส. สังกัดพรรครัฐบาล โดยเฉพาะจากพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งประชาชนได้เห็นพฤติกรรมประหลาดและไม่สร้างสรรค์ของสส. พรรคพลังประชารัฐ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาลไปเรื่อยๆ
พฤติกรรมประหลาดของสส. พรรคพลังประชารัฐหลายคน โดยเฉพาะเรื่องการพูดจาที่หาสาระไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อนักการเมืองสังกัดพรรครัฐบาลลงทุกขณะ แล้วเมื่อยิ่งมาบวกกับเรื่องปมการครอบครองที่ดินของสส. รัฐบาลรายหนึ่งที่ประชาชนเห็นมาโดยตลอดว่าดีแต่ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก แถมการครอบครองที่ดินดังกล่าวนั้น ถูสาธารณชนตั้งคำถามว่าไม่น่าจะครอบครองโดยถูกต้องตามหลักกฎหมายของบ้านเมือง แต่เมื่อเรื่องใหญ่เช่นนี้บังเกิดขึ้น ประชาชนก็กลับพบว่าดูเสมือนรัฐบาลโดยรัฐมนตรีบางรายได้แสดงอาการปกป้องสส. หญิงของพรรคพลังประชารัฐที่มีปัญหาการถือครองที่ดินจนออกนอกหน้า ซึ่งทำให้สาธารณชนตั้งคำถามว่า ถ้าหากกรณีนี้เกิดกับประชาชนทั่วไป หรือเกิดกับคนตัวเล็กตัวน้อยแล้ว รัฐมนตรีและรัฐบาลจะแสดงอาการปกป้องมากมายถึงขนาดนี้หรือไม่
นอกจากนี้ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนโยบายชักเข้าชักออกในเรื่องสารเคมีอันตรายที่รัฐบาลเคยประกาศอย่างโครมครามว่าต้องเลิกใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 แต่ไปๆ มาๆ ก็ชักเข้าชักออกจนกลายเป็นว่าอนุญาตให้ใช้สารเคมีอันตรายต่อไปได้อีกสองตัวโดยขยายเวลาให้อีกครึ่งปี แต่สารเคมีอันตรายอีกตัวหนึ่งกลับอนุญาตให้ใช้ต่อไปได้ ซึ่งนี่คือการแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ที่ชัดเจน จึงทำให้ประชาชนวิพากษ์ว่าเป็นการทำงานการเมืองแบบชักเข้าชักออก
ปัญหาต่างๆ ที่ยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังนี่คือสนิมที่กัดกร่อนเนื้อเหล็กของรัฐนาวาประยุทธ์ ต่อให้รัฐนาวาลำนี้จะถูกประโคมข่าวว่าใหญ่โตโอฬารสักเพียงใดก็ตาม แต่หากปล่อยให้สนิมกัดกินเนื้อเหล็กของรัฐนาวาไปเรื่อยๆ แล้ว รับรองอีกไม่นานรัฐนาวาลำนี้ล่มแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี