“สมควรจัดตั้งองค์การมหาชนเพื่อสนับสนุนและให้การช่วยเหลือแกองค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การเพิ่มรายได การพัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชนทั้งในเมืองและชนบท และเพื่อให้มีการสนับสนุนและให้ความ
ช่วยเหลือทางการเงินแกองค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ และมีการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและยั่งยืน”
ข้อความใน พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2543 อธิบายเหตุผลความจำเป็นของการก่อตั้ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือชื่อย่อคือ “พอช.” ซึ่งตลอด 19 ปีที่ผ่านมา พอช. เดินหน้าทำงานเพื่อช่วยให้คนระดับฐานราก โดยเฉพาะ “คนจนเมือง” ได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยแบบได้มาตรฐานในราคาที่เหมาะสม แต่ก็ต้องบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” จากหลายข้อจำกัด
เมื่อกลางเดือน พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา มีการจัดเวทีเสวนา “วิกฤติที่ดิน เมืองและที่อยู่อาศัย” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมที่ดินคือชีวิต ครั้งที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พรรณทิพย์ เพชรมาก รองผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า เมื่อคนจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง แรกๆ อาจเช่าห้องพักแต่เมื่อราคาค่าเช่าสูงขึ้นก็ไปบุกรุกหรือบุกเบิก “ที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐหรือพื้นที่สาธารณะ” แล้วสร้างชุมชนขึ้นมา เช่น ชุมชนคลองเตยที่มีอยู่ราว 2 หมื่นครัวเรือน หรือชุมชนริมคลองลาดพร้าว-คลองเปรมประชากร ที่บางส่วนขยายลงไปในพื้นที่คลอง
สุดท้ายเมื่อภาครัฐจะมีโครงการพัฒนาสักอย่างหนึ่ง ชุมชนเหล่านี้ก็กลายเป็นเป้าหมายต้องถูกย้ายออก ส่วนในกลุ่ม “ที่ดินเอกชน” จะพบว่า “ในวันที่ราคาที่ดินยังไม่สูงเจ้าของที่ดินก็ปล่อยเช่าถูกๆ แต่เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นจากสาธารณูปโภคอย่างถนนหรือทางรถไฟฟ้าที่ตัดผ่าน ผู้เช่าย่อมได้รับผลกระทบเพราะจะถูกยกเลิกสัญญาเช่า” และการไปหาที่อยู่ใหม่ก็ยากเพราะราคาที่อยู่นั้นแพงมาก
“ในส่วนของ พอช. ที่ทำโครงการที่อยู่อาศัย คิดว่าถ้าทำเรื่องที่ดินให้มั่นคง เชื่อว่าคนจนทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ได้ ทำบ้านตัวเองให้ดีขึ้นได้ ถ้าเรื่องที่ดินมีความมั่นคง แล้วการที่บอกว่าราคาที่ดินมันสูงหลายเท่ามาก จะทำอย่างไรให้คนจนอยู่ใช้ที่ดินได้ ที่ดินรัฐในเมืองก็จะหายากขึ้นเรื่อยๆ ชุดที่อยู่อยู่แล้วทุกวันนี้คือชุดที่ราชพัสดุ ชุดที่ริมคลอง เราก็พยายามคุยว่าจะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร คือคนรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้บุกรุก
อย่างบ้านมั่นคง (โครงการของ พอช.) จะไปหนุนให้ผู้บุกรุกเขาบุกเพิ่มหรือ จะโดนคนถามแบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลางหรือรัฐบาล รู้สึกว่าการไปตามแก้ปัญหาตรงนี้เหมือนยิ่งไปเสริมให้คนบุกรุก หรืออย่างการไปพัฒนาศูนย์คนไร้บ้าน คือคนชอบคิดว่าเขาผิดกฎหมายทำไมต้องไปตามแก้ปัญหาในส่วนตรงนี้ต้องบอกว่าเมืองต้องการแรงงาน ต้องการคนจน คนทำความสะอาด วินมอเตอร์ไซค์ ต้องการอะไรหลายๆ อย่าง แต่เมืองไม่ค่อยคิดว่าคนเหล่านี้จะอยู่ที่ไหน บนที่ดินที่เหมาะสมที่เขาสามารถจ่ายได้” รอง ผอ.พอช. ระบุ
พรรณทิพย์ เล่าต่อไปว่า ภารกิจของ พอช. มุ่งเจรจากับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ กรณีที่ดินในความครอบครองของหน่วยงานเหล่านั้นซึ่งหลายจุดมีประชาชนอยู่อาศัย โดย “เปลี่ยนสถานะจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าระยะยาว” ซึ่งบางหน่วยงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เช่น กรมธนารักษ์ กรณีแก้ไขปัญหาชาวบ้านรุกล้ำลำคลอง ปัจจุบันร่วมกันทำโครงการ “บ้านมั่นคง” ปรับปรุงสภาพบ้านให้ขึ้นมาอยู่บนฝั่งแล้วให้ประชาชนทำสัญญาเช่า 30 ปี เป็นต้น
แต่สิ่งที่ พอช. ได้รับเสมอมาคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ “การให้คนจนอยู่อาศัยริมน้ำไม่คุ้มค่า สู้เอาไปทำอาคารสูงจะเกิดประโยชน์มากกว่า” เนื่องจากเลือกทำที่อยู่อาศัยในลักษณะบ้าน 2 ชั้น ซึ่งในเชิงการตลาดน่าจะเอาไปอะไรที่ดีกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ทาง พอช. ก็ยืนยันอย่างหนักแน่น“คนนับพันครัวเรือน เฉลี่ยครัวเรือนละ 4-5 คน ถ้าต้องย้ายออกไปจะส่งผลกระทบมากเพียงใด” ดังนั้นแต่ละเมืองควรสำรวจว่ามีชุมชนแออัดบุกรุกเท่าใด และมีที่ดินของรัฐที่พร้อมทำโครงการช่วยเหลือเท่าใด
“ที่กรมธนารักษ์เจอ คือหน่วยงานขอใช้พื้นที่เยอะแยะมากมายทุกหน่วย ทหารก็อาจจะเยอะหน่อยขอใช้แล้วก็ไม่คืน แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วย ขอกันไว้ ซึ่งเราก็พยายามเสนอว่าช่วงนี้น่าจะเป็นที่อยู่อาศัย คือคืนหรือแบ่งมาบางส่วนในการให้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งขั้นตอนการเจรจาต่อรองเรื่องที่ดิน ที่ถามว่าทำไมทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายขั้นตอนในการเจรจาต่อรองใช้เวลานานมาก อย่างที่ดินรถไฟ(การรถไฟแห่งประเทศไทย) คนจนที่อยู่ตามแนวรถไฟทุกสาย ตรงนี้กว่าจะลงตัว กว่าจะจัดได้ ขอเช่าได้แล้วคนที่อยู่เดิมไม่ย้ายออกอีก ก็ทำไม่ได้ในส่วนตรงนี้
ถามว่านโยบายรัฐตอนนี้เอื้อในเรื่องที่ดินมากน้อยแค่ไหน อย่างชุดของกรมธนารักษ์ ที่ราชพัสดุ ก็ค่อนข้างเอื้ออำนวย มีบันทึกความร่วมมือกับ พอช. ในส่วนโครงการบ้านมั่นคง ให้เช่ากับสหกรณ์ของชุมชนในราคาครึ่งหนึ่งของตลาด ระยะเวลา 30 ปีแต่ในส่วนชุดรถไฟ บางที่ได้เช่าแล้ว อยู่ๆ ก็เกิดรถไฟทางคู่รถไฟความเร็วสูงขึ้นมา ที่ลงทุนไปแล้ว สนับสนุนโครงการบ้านมั่นคงแล้ว ปรากฏต้องรื้ออีก” พรรณทิพย์ ยกตัวอย่าง
รอง ผอ.พอช. ยังกล่าวถึงทัศนคติ “ที่ดินยิ่งราคาแพงยิ่งควรถูกใช้ให้เกิดกำไรสูงสุดทางเศรษฐกิจ” แต่ทาง พอช. เชื่อว่า “คนทุกคนมีความหมายกับเมือง..รวมถึงคนจนด้วย” ทั้งนี้ พอช. ยังมีภารกิจต่อเนื่องคือ “เมื่อคนจนต่อสู้จนมีที่อยู่อาศัยแล้ว ทำอย่างไรจะให้คนเหล่านี้สามารถรักษาที่อยู่อาศัยเพื่อส่งต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้” โดยมองว่า “การรวมกลุ่มในนามชุมชนลดความเสี่ยงที่ดินได้ดีกว่าอยู่แบบปัจเจก” หากเป็นสิทธิส่วนบุคคล เมื่อมีผู้เสนอเงินจำนวนมากพอจนล่อตาล่อใจก็อาจตัดสินใจขายที่อยู่อาศัยนั้นก็ได้ กลายเป็นผู้สูญเสียที่ดินอีกครั้ง
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องของ พอช. มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ด้วยขอเป็นกำลังใจให้ พอช. ทำงานเพื่อคนระดับฐานรากต่อไป พร้อมทั้งหวังว่าข้อสรุปในเวทีเสวนาดังกล่าวคือ “เลิกมองที่ดินเป็นสินค้าและสินทรัพย์” จะกลายเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเมื่อไม่มีการเก็งกำไรที่ดิน มุมหนึ่งพอช. ก็ทำงานช่วยให้คนระดับล่างมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ขณะที่ชนชั้นกลางก็จะไม่ต้องเครียดกับราคาบ้านที่แพงชนิดผ่อนกันจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี