หัวข้อนี้เป็นข่าวดี ทางการศึกษา เป็นชื่อโครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ ประจำปี 2563ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่แถลงเปิดตัวไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค
โดย น.ส.ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ผอ.สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วม นวัตกรรมและทุนการศึกษา กสศ. ระบุว่า โครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ เป็นทุนส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาของ กสศ. เพื่อค้นหาคัดเลือกพัฒนาเด็กเยาวชนที่เรียกว่า “เด็กช้างเผือก” ที่มาจากพื้นฐานสายอาชีพให้มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และ ปริญญาเอก
ซึ่งเรื่องนี้มีสองโจทย์ปฏิรูปที่ กสศ.จะตอบคือ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาคือเปิดโอกาสปฏิรูปให้เด็กที่ยากจนที่สุด 20% แรกของประเทศได้เรียนต่อสูงขึ้น เพราะจากสถิติพบว่า เด็กกลุ่มนี้มีโอกาสเรียนต่อน้อยมาก แค่ 5% หรือ ประมาณ 8,000 คน ต่อรุ่น ในขณะที่ค่าเฉลี่ยเรียนต่อของประเทศอยู่ที่ประมาณ 35%ช่องว่างตรงนี้มีถึง 7 เท่า กสศ. จึงต้องการส่งเสริมให้เด็กกลุ่มที่ยากจนที่สุดนี้ได้เรียนต่อในประดับปริญญาตรี
“ทุนนี้สนับสนุนกำลังคนสายอาชีพที่มีศักยภาพให้ศึกษาต่อปริญญาตรี โท เอก ในสาขาที่ตอบโจทย์ประเทศ S-Curve New S-Curve STEMและดิจิทัล เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง แม้จะมีจำนวนทุนไม่มาก ราว 40 ทุนต่อปี แต่กสศ. มุ่งสร้างและพัฒนาให้เป็นต้นแบบการเรียนสายอาชีพ ให้เห็นว่ามีเส้นทางความก้าวหน้าได้จริง สร้างกลุ่มเยาวชนยากจนด้อยโอกาสที่มีศักยภาพให้เป็นบุคลากรชั้นนำได้” น.ส.ธันว์ธิดากล่าว
ทั้งขอเชิญชวนสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรี หลักสูตรต่อเนื่อง หรือหลักสูตรเทียบโอน ร่วมเสนอชื่อนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2562 ซึ่งผ่านกระบวนการคัดกรองความยากจน มีผลการเรียน มีความสามารถโดดเด่น มีความสามารถพิเศษ รวมถึงการมีจิตสาธารณะ ภายในวันที่ 13ม.ค. 2563 จากนั้น กสศ. จะมีกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประกาศผลภายในวันที่ 28 ก.พ. 2563 ซึ่งกสศ.ขอเชิญชวนสถาบันการศึกษาที่กำลังมุ่งเน้นเรื่องสายอาชีพ เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปเรื่องนี้ร่วมกันผลิตกำลังคนสายอาชีพด้วยกัน ช่วยกันสร้างโอกาสให้เยาวชนกลุ่มนี้เห็นว่าหากเลือกเรียนสายอาชีพจะมีโอกาสเติบโตในสังคมได้และตอบโจทย์ประเทศด้วย
ในขณะที่นายนพพร สุวรรณรุจิ อนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ กล่าวว่า ทุนนี้ไม่เปิดให้สมัครทั่วไป แต่จะถูกเสนอชื่อโดยสถาบันการศึกษาซึ่งถือเป็นประตูด่านแรกหากสถาบันไม่เสนอชื่อขึ้นมา กสศ.ก็ไม่สามารถพิจารณารายชื่อได้ โดยคุณสมบัตินักเรียนที่จะถูกเสนอชื่อจะต้องจบ ปวส. หรืออนุปริญญา หลักสูตรต่อเนื่องหรือเทียบโอน ในหลักสูตรที่สามารถเรียนต่อ ป.โท ป.เอก ในสาขาวิชาเดียวกันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นักศึกษาที่จะได้รับทุนจะต้องมาจากครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 3,000 บาท ต่อเดือน จากนั้นก็จะใช้กระบวนการพิจารณาความยากจนของ กสศ. ซึ่งจะพิจารณาจาก ภาระพึ่งพิง ที่อยู่อาศัย สภาพที่อยู่อาศัย ที่ดิน เกษตร ไฟฟ้า ยานพาหนะรวมทั้งจะต้องมาพิจารณาความสามารถเกียรติประวัติ ผลงาน รวมทั้งจะต้องไม่มีประวัติอาชญากรรม เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด อบายมุข และมีความพร้อมทางสภาพจิตใจที่จะศึกษาจนสำเร็จการศึกษา
ศ.ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย ที่ปรึกษา กสศ. และประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางโครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ กล่าวว่า ทุนนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมโดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนสูงขึ้น จากเดิมที่เคยคิดว่าเรียนอาชีวะแล้วออกไปประกอบอาชีพก็ดีแล้ว แต่บางคนมีความสามารถที่หากเรียนสูงขึ้นก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กกลุ่มนี้มีโอกาส การให้ทุนนี้ยังจะเป็นการตอบโจทย์ประเทศเพราะในสาขาช่างบางสายต้องการการศึกษาที่สูงขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะ วิชาการที่ก้าวหน้าขึ้น โอกาสที่จะทำให้เกิดการพัฒนาในวิชาชีพก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย เราจำเป็นต้องพัฒนาคนให้มีหลายกลุ่ม หลายประเภท ทำให้คนที่ได้เรียนสายอาชีพเติบโตขึ้นไปก้าวหน้าในอาชีพการงานได้และสามารถไปเทียบเคียงกับคนที่จบสายสามัญได้ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำไม่อย่างนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะอยู่ระดับล่างต่อไป
ครับ สถานศึกษาใดมีลูกศิษย์หัวดี แต่ขัดสนทุนทรัพย์ ก็เสนอชื่อเข้าชิงทุน “ช้างผือกสายอาชีพ” ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี