การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน แต่ในทางปฏิบัติอาจแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ ระบบสาธารณรัฐ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ฯลฯ กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย (ยกเว้นประเทศฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์) และประเทศไทย
สำหรับประเทศอังกฤษกับประเทศไทยนั้นในทางปฏิบัติก็แตกต่างกัน เพราะประเทศอังกฤษมีการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจจริง ส่วนประเทศไทยนั้นนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะผู้ก่อการอันมีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า มีคณะผู้ก่อการที่มีฉายาว่า 5 ทหารเสือ ประกอบด้วย พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิอัคนี พระประศาสตร์พิทยายุทธ์ และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ทำการปฏิวัติต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 คณะปฏิวัติเรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ปกครองประเทศตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
นับแต่นั้นมาประเทศไทยมีการปฏิวัติรัฐประหารตลอดมา ซึ่งผลก็คือ ประเทศไทยแทบจะไม่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย ยกเว้นจะมีภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มีรัฐบาลพระราชทานซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้ทรงแต่งตั้ง ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ. 2517 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นครั้งแรก แต่ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2519 นับแต่นั้นมาก็เกิดรัฐประหารอีกหลายครั้ง จนกระทั่งหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยเปรียบว่าเป็น “ประชาธิปไตยฟันปลอม” ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยไม่เคยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในทางปฏิบัติเลย ที่เป็นเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญ คือ ประชาชน ไม่มีความเข้าใจที่จะทำให้ประเทศเป็นสังคมประชาธิปไตยในความหมายที่แท้จริง เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 87 ปีแล้ว การปกครองของประเทศอยู่ในวังวนแห่งเผด็จการเกือบตลอดเวลา
แม้กระทั่งปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ยังไม่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยที่แท้จริง คณะรักษาความสงบแห่งชาติยังมีอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา เสรีภาพของประชาชนก็ยังอยู่ในขีดจำกัด ผิดกับประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครัฐบาลคนหนึ่งถึงกับกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อพวกเรา การซื้อสิทธิ
ขายเสียงในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็ดี ซื้อตัวทั้งผู้สมัครและใช้พลังดูดทั้งพรรคก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏว่าฝ่ายที่ตั้งรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วยรัฐบาลผสมหลายพรรค ถึงกระนั้นเสียงผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรที่รวมกับพรรคอื่นๆ ก็ยังปริ่มน้ำ จึงเกิดพลังดูดทุกวิถีทาง การใช้อำนาจตามอำเภอใจเช่นในอดีตที่ปกครองด้วยระบบเผด็จการทำไม่ได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่จะดำรงอยู่ในอำนาจฝ่ายบริหารได้ก็โดยอาศัยปัจจัยที่มนุษย์ทุกคนแสวงหาเป็นพลังในการดูดความแตกต่างระหว่างผู้เผด็จการโดยกำลังต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นการใช้ปัจจัยและผลประโยชน์การดำเนินนโยบายทางการเมืองก็ต้องเปลี่ยนไปตามแนวทางประชาธิปไตย กล่าวคือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่ใช้วิธีการประนีประนอมเป็นหลัก การเอาชนะแต่ฝ่ายเดียวเป็นหลักของเผด็จการ จึงหวังว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว สังคมประชาธิปไตย (แม้จะครึ่งใบก็ตาม) การเอาแต่ใจไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ฉะนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ในครั้งนี้จะราบรื่นก็ด้วยความสามารถและพฤติกรรมของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนักการเมืองในสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่ผู้นำเผด็จการในอดีต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี