วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกลายเป็นแหล่งที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศจนมีรายได้ปีละมากกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือปีละเกือบ 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 60 ของวงเงินงบประมาณประจำปีของประเทศ หรือประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ประชาชาติ รัฐบาลคสช.ใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสมัยแรกนั้นได้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหัวหอก
ในการปั้นให้ไทยเป็นประเทศอันดับ 3 ของโลกในการสร้างให้เป็นเบสต์ทัวริสต์เดสติเนชั่นรองลงมาจากอันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกาและอันดับ 2 สาธารณรัฐประชาชนจีนทำให้ไทยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาเยือนถึงปีละกว่า 40 ล้านคน ยังผลให้ท่าอากาศยานทุกแห่งในประเทศไทย เป็นแหล่งรองรับปริมาณผู้โดยสารต่อปี รวมแล้วมากเป็นอันดับ 3 ของโลกตามไปด้วยคือ ปีละเกือบ 100 ล้านคน ทำให้รัฐบาลต้องขยายและสร้างท่าอากาศยานเพิ่มเติม
โดยเฉพาะภาคใต้ท่าอากาศยานใหม่ในพื้นที่ 14จังหวัดภาคใต้ ที่สร้างใหม่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วคือท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา แห่งต่อไปที่กำลังพิจารณาคือการสร้างท่าอากาศยานจังหวัดพังงา เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่ล้นมาจากท่าอากาศยานกระบี่,ตรังและท่าอากาศยานภูเก็ต ส่วนอีกแห่งคือการสร้างท่าอากาศยานจังหวัดสตูลเพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในแต่ละปีเพิ่มปริมาณหลายล้านคนต่อปี
นอกจากท่าอากาศยานในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันแล้วทางพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยนั้น ท่าอากาศยานบนเกาะสมุย, ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานชุมพรนั้น ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีการจัดทำแผนขยายท่าอากาศยานเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เกาะสมุย มีแนวโน้มว่าอาจต้องขยายพื้นที่เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ไทยจะมีการก่อสร้างท่าอากาศยานเพิ่มขึ้นแต่ก็มีท่าอากาศยานที่กรมท่าอากาศยานดูแลอยู่มีสภาพเป็นท่าอากาศยานร้างไม่มีสายการบินของเอกชนไปเปิดบริการเพราะปริมาณของผู้โดยสารไม่มีไปใช้บริการได้แก่ท่าอากาศยานนครราชสีมา,ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์และท่าอากาศยานอุตรดิตถ์ ซึ่งในทางธุรกิจแล้วถือว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าสูญเสียเงินงบประมาณไปโดยไม่มีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจเป็นจำนวนนับพันล้านบาท
ผู้ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาท่าอากาศยานที่ทิ้งร้างไว้เหล่านี้คือรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมและกรมท่าอากาศยานกับกระทรวงกลาโหม น่าจะพิจารณานำเอาท่าอากาศยานที่ร้างอยู่มาใช้ประโยชน์ในทางด้านเศรษฐกิจหรือทางด้านกิจการทหารดีกว่าจะปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าหากไม่มีสายการบินมาใช้บริการก็น่าจะทบทวนไปเป็นที่ตั้งของหน่วยทหารของกองทัพบก หรือกองทัพอากาศ
เช่น ท่าอากาศยานนครราชสีมาซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่มีหน่วยราชการทหารบกและทหารอากาศประจำอยู่น่าจะเป็นที่ตั้งของฝูงบินส่วนแยกของกองทัพเหล่าใดเหล่าหนึ่งหรือกองทัพภาคที่ 2 ในขณะที่เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์ มีหน่วยทหารของกองทัพภาคที่ 3 และกองพลทหารม้าที่ 1 ประจำอยู่ก็น่าจะตั้งฝูงบินของกองทัพบกประจำอยู่เช่นเดียวกัน

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี