ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกลายเป็นแหล่งที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศจนมีรายได้ปีละมากกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือปีละเกือบ 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 60 ของวงเงินงบประมาณประจำปีของประเทศ หรือประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ประชาชาติ รัฐบาลคสช.ใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสมัยแรกนั้นได้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหัวหอก
ในการปั้นให้ไทยเป็นประเทศอันดับ 3 ของโลกในการสร้างให้เป็นเบสต์ทัวริสต์เดสติเนชั่นรองลงมาจากอันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกาและอันดับ 2 สาธารณรัฐประชาชนจีนทำให้ไทยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาเยือนถึงปีละกว่า 40 ล้านคน ยังผลให้ท่าอากาศยานทุกแห่งในประเทศไทย เป็นแหล่งรองรับปริมาณผู้โดยสารต่อปี รวมแล้วมากเป็นอันดับ 3 ของโลกตามไปด้วยคือ ปีละเกือบ 100 ล้านคน ทำให้รัฐบาลต้องขยายและสร้างท่าอากาศยานเพิ่มเติม
โดยเฉพาะภาคใต้ท่าอากาศยานใหม่ในพื้นที่ 14จังหวัดภาคใต้ ที่สร้างใหม่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วคือท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา แห่งต่อไปที่กำลังพิจารณาคือการสร้างท่าอากาศยานจังหวัดพังงา เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่ล้นมาจากท่าอากาศยานกระบี่,ตรังและท่าอากาศยานภูเก็ต ส่วนอีกแห่งคือการสร้างท่าอากาศยานจังหวัดสตูลเพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในแต่ละปีเพิ่มปริมาณหลายล้านคนต่อปี
นอกจากท่าอากาศยานในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันแล้วทางพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยนั้น ท่าอากาศยานบนเกาะสมุย, ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานชุมพรนั้น ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีการจัดทำแผนขยายท่าอากาศยานเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เกาะสมุย มีแนวโน้มว่าอาจต้องขยายพื้นที่เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ไทยจะมีการก่อสร้างท่าอากาศยานเพิ่มขึ้นแต่ก็มีท่าอากาศยานที่กรมท่าอากาศยานดูแลอยู่มีสภาพเป็นท่าอากาศยานร้างไม่มีสายการบินของเอกชนไปเปิดบริการเพราะปริมาณของผู้โดยสารไม่มีไปใช้บริการได้แก่ท่าอากาศยานนครราชสีมา,ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์และท่าอากาศยานอุตรดิตถ์ ซึ่งในทางธุรกิจแล้วถือว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าสูญเสียเงินงบประมาณไปโดยไม่มีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจเป็นจำนวนนับพันล้านบาท
ผู้ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาท่าอากาศยานที่ทิ้งร้างไว้เหล่านี้คือรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมและกรมท่าอากาศยานกับกระทรวงกลาโหม น่าจะพิจารณานำเอาท่าอากาศยานที่ร้างอยู่มาใช้ประโยชน์ในทางด้านเศรษฐกิจหรือทางด้านกิจการทหารดีกว่าจะปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าหากไม่มีสายการบินมาใช้บริการก็น่าจะทบทวนไปเป็นที่ตั้งของหน่วยทหารของกองทัพบก หรือกองทัพอากาศ
เช่น ท่าอากาศยานนครราชสีมาซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่มีหน่วยราชการทหารบกและทหารอากาศประจำอยู่น่าจะเป็นที่ตั้งของฝูงบินส่วนแยกของกองทัพเหล่าใดเหล่าหนึ่งหรือกองทัพภาคที่ 2 ในขณะที่เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์ มีหน่วยทหารของกองทัพภาคที่ 3 และกองพลทหารม้าที่ 1 ประจำอยู่ก็น่าจะตั้งฝูงบินของกองทัพบกประจำอยู่เช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี