สังคมไทยได้ประกาศสงครามยาเสพติดมาช้านาน ทุกรัฐบาลทำเต็มที่ ทั้งวิธีแข็งกร้าวปราบปรามรุนแรง และยุคหนึ่งผู้ค้ายาเสพติดหักหลังฆ่ากันตายกว่า 2 พันศพ แต่ยาเสพติดยังไม่ได้ลดลง คดียาเสพติดล้นกระบวนการยุติธรรม อัตราผู้เสพยาเพิ่มขึ้น ปัญหาสังคมตามมา เป็นเรื่องที่น่าวิตก
หัวข้อนี้มาจากข้อมูลที่ สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก (สำนัก 1) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ Safe Zone for All “พื้นที่ปลอดภัยทุกคนสร้างได้ สู่งานวันยาเสพติดสากล 26 มิถุนายน 2563” เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนคุยกัน ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ผศ.ดร.นพ.อภินันท์ อร่ามรัตน์ ผอ.ศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระบุว่า งานป้องกันยาเสพติดหากวิเคราะห์ให้ลึก จะรู้ว่าไม่สามารถทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วปัญหาจะหมดไป เพราะมีหลายมิติทับซ้อน ต้องมองทั้งในบริบทของทั้งโรงเรียน ชุมชน สถานประกอบการ การดูแลและแก้ปัญหาเราต้องทำให้ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นหน่วยงานของเราจึงต้องแสวงหาชุมชนที่มีแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบเป็นรูปธรรมที่ไม่ใช่เกิดจากการจัดการของภาครัฐ แต่เกิดจากการที่สังคมไทยตอบสนองต่อวิกฤติปัญหา พยายามลุกขึ้นมาจัดการตัวเองได้อย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ ช่วยกันแก้ไข สามารถลดและอยู่ร่วมกับปัญหายาเสพติดได้อย่างปลอดภัย
“หากพูดถึงในอดีตตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราจะชอบเล่าเรื่องยาเสพติดแบบขู่ให้กลัว แล้วก็คิดว่าสังคมจะกลัว พยายามที่จะปราบปราม ใครเข้าไปเกี่ยวข้องก็จับแยกออกมา คนขายเอาไปติดคุกจนล้นคนเสพเอามาบำบัดแต่ก็ยังเต็มบ้านเต็มเมืองจนบำบัดไม่ไหว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการเรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ผล ภาครัฐทำอยู่ฝ่ายเดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลย ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนแนวทางการทำงานมามองที่ผลกระทบ จะทำยังไงให้ชุมชนหรือสังคมไม่มีปัญหายาเสพติด ต้องทำพื้นที่ปลอดภัย ให้คนในชุมชนหันหน้าเข้ามาช่วยกันวางมาตรการทั้งเรื่องการป้องกัน ปราบปรามและเฝ้าระวัง เปิดพื้นที่ให้เขามีโอกาสได้ทำกิจกรรม ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแล้วยาเสพติดมันจะน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ เอง”
ด้าน น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผอ.สำนัก 1 สสส. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาสารเสพติดในชุมชน ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยของภาคีเครือข่าย พบว่า การดำเนินโครงการมีผลสำเร็จเกินเป้าหมายที่ สสส. วางไว้เพราะกิจกรรมที่จัดขึ้นทำให้เกิดกลไกการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ที่จะช่วยกันดูแลปัญหายาเสพติดในชุมชนด้วยวิธีการที่เค้าเลือกเอง การมีส่วนร่วมจะทำให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นคนสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีและเป็นพลังสำคัญที่ก่อให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ รวมถึงดูแลสังคม ดูแลสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการลดปัญหายาเสพติดได้อย่างแท้จริง
“หัวใจสำคัญของการดำเนินงานด้านยาเสพติดของ สสส. คือต้องการสนับสนุนให้เห็นว่าการทำงานด้วยวิธีเชิงบวกสามารถสร้างให้เกิดรูปธรรมของความสำเร็จได้จริง ซึ่งการทำงานในมิติเชิงบวกจะเป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ จากเดิมที่ประกาศสงครามกับยาเสพติดซึ่งหลายบทเรียนก็ยืนยันแล้วว่าอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร มาเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัย ทำให้คนในชุมชนรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของชุมชน จากนั้นก็พยายามดึงทุกคนในชุมชนทั้งเด็กเยาวชนและผู้สูงอายุเข้ามาร่วมทำกิจกรรมเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า สามารถช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนให้เกิดความต่อเนื่องในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม การสร้างพื้นที่ปลอดภัยยังสามารถทำให้ชุมชนเกิดความแข็งแรงในมิติที่จะสร้างสุขภาวะที่ดีต่อไปได้เช่นกัน” น.ส.รุ่งอรุณกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ นายจักรกิตร์ ก่อเกิด รองปลัด อบต.แม่เปา กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ปัญหายาเสพติดมันยังมีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเพราะครอบครัวและสังคมไม่ยอมรับ คนเสพจะถูกปิดกั้นและกีดกันออกจากสังคมเราต้องทำความเข้าใจกับคนในชุมชนว่าความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว จะต้องสร้างด้วยตนเองก่อน ไม่ใช่พอเอ่ยถึงยาเสพติดทุกคนจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี สอนลูกหลานว่าอย่าไปมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวที่มีลูกติดยา มันยิ่งเป็นการผลักให้เด็กกลุ่มนั้นหรือผู้ติดยาออกจากสังคมทำให้เกิดปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น ยาเสพติดมันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเพียงสภาวะเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งได้เข้าไปสู่วงจรนั้น ถ้าเราอยู่ด้วยกันได้เปิดใจยอมรับให้ผู้เสพได้กลับมาสู่ชุมชนหรือครอบครัว ค่อยๆ ดึงเค้ากลับมาในสังคมให้โอกาสกลับตัว ก็จะสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ ปัจจุบันในพื้นที่ไม่มีผู้เสพหน้าใหม่เลย
น.ส.เกศรินทร์ พรหมมา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครมูลนิธิภูมิพลังชุมชนไทย ซึ่งเป็นมูลนิธิในเครือข่ายของ สสส. เพื่อที่จะช่วยสนับสนุนกิจกรรมของพี่ๆ อาสาสมัครในด้านของการศึกษา เนื่องจากชุมชนที่ลงพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นโรงเรียนการศึกษานอกระบบ (กศน.) ตั้งอยู่บนดอยสูง ไม่มีสื่อการเรียนการสอน มีครูแค่ 2 คน คอยสอนวิชาภาษาไทยกับคณิตศาสตร์ ส่งผลให้เด็กเยาวชนยังเข้าไม่ถึงการศึกษามากนัก ดังนั้นเด็กที่นี่จะไม่รู้ว่าโทษและพิษภัยของสารเสพติดส่งผลเสียต่อตัวเอง สังคม ชุมชนอย่างไร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเหล่านี้ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และตนมองว่าการที่เด็กเยาวชนเข้ามาช่วยเป็นอาสาสมัครดูแลปัญหายาเสพติด ถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างความตระหนักด้านพิษภัยของยาเสพติดให้กับเยาวชนได้
ครับการแก้ไขปัญหายาเสพติด ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายช่วยกัน ทั้งภาครัฐและภาคประชาส่ังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี