ขณะที่ประชาชนคนไทยร่วมกับชาวโลกปริวิตกอย่างมาก เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลก เกิดความกังวลในประเทศไทยหลายประการ
๑. หากการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในระยะที่สามที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แม้เพียง ๑๐% ของจำนวนประชากร ก็เท่ากับ ๖ ล้านคน แต่หากติดมากถึง ๔๐% ของจำนวนประชากร ก็จะมากถึง ๒๕ ล้านคน บุคลากรทางการแพทย์ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้จะมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน สถานพยาบาลรักษาหรือกักกันจะมีเพียงพอหรือไม่
๒. การบริหารจัดการในยามวิกฤติของภาครัฐดูจะไม่เป็นเอกภาพ แม้ไทยจะมีรัฐบาลที่มีวัฒนธรรมทหารอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ดูจะอ่อนแอ ไม่มีความกล้าหาญสร้างระบบป้องกันที่เพียงพอ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยขาดการวางแผนสั่งการที่ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว
๓. หน้าร้อนนี้ ใกล้เทศกาลสงกรานต์ จะมีผู้คนหลั่งไหลออกจากกรุงเทพฯ กระจายไปยังบ้านเกิดตามประเพณีวันขึ้นปีใหม่ในวันสงกรานต์ของไทย
เมื่อ COVID-19 เป็นเชื้อโรคร้ายที่อุบัติในประเทศจีน และแพร่ขยายไปประเทศต่างๆ รวมทั้งมายังสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และกรุงเทพมหานคร เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่นของผู้คน ต่างมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดย่อมมีโอกาสติดต่อซึ่งกันและกัน
จะเห็นได้ว่าขณะนี้ผู้ติดเชื้อจะพบในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่หลังเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีคนเป็นพาหะนำเชื้อไปแพร่ระบาดในชุมชนพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วไปอย่างไม่ตั้งใจ
ในช่วงสงกรานต์ ย่อมจะมีเขยของคนไทยที่เป็นต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเขยเยอรมัน เขยอิตาลี เขยสเปน เขยฝรั่งเศส เขยเดนมาร์ก เขยญี่ปุ่น และอื่นๆ กลับมาพร้อมเมียไทย เพื่อมาเยี่ยมครอบครัวในประเทศไทย ซึ่งส่วนมากอยู่ในต่างจังหวัด หากดูแลป้องกันการติดเชื้อไม่ดีย่อมเกิดการระบาดในชุมชนต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้ความกลัว ความวิตกกังวลดังกล่าวหากมองมุมบวกเราก็จะพบว่าเชื้อไวรัส COVID-19จะสร้างโอกาสให้สังคมไทยหากได้เรียนรู้และตระหนักดังต่อไปนี้
๑) การแพร่ระบาดทำให้ประชาชนคนไทยเดินทางน้อยลง อยู่บ้านมากขึ้น ครอบครัวใกล้ชิดอบอุ่นมากขึ้น
๒) ลดค่าใช้จ่ายเกิดเงินออมมากขึ้น เพราะจะมีคนที่ออกเที่ยวเตร่น้อยลง กิจกรรมบันเทิงทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายน้อยลงทุกประเภท อบายมุขและกิจกรรมใต้ดินอื่นๆ ลดลง
๓) ประชาชนเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เข้าใจวิธีการดูแลสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถป้องกันโรคอื่นๆ ที่เกิดในปัจจุบันและจะเกิดในอนาคตได้ดีขึ้น
๔) สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า วิชาการ ความรู้รอบเรื่องธรรมชาติร่างกายของมนุษย์และของเชื้อโรคมีความสำคัญที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมากขึ้น
๕) รัฐบาลและสังคมได้เรียนรู้ว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และร่วมขจัดโรคระบาดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลำพังแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จะไม่สามารถดูแลระงับโรคระบาดได้
๖) คนไทยได้เรียนรู้และให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โซเชียลมีเดีย การประชุมทางไกล เพราะมีความจำเป็นต้องใช้ และอาจพัฒนาการใช้ต่อเนื่องต่อไปในอนาคต
๗) หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชนได้สร้างระบบรองรับ และซักซ้อมหากเกิดภาวะวิกฤติฉุกเฉิน จะให้ทำงานที่บ้านหรือแบ่งทีมทำงานเป็นหลายทีมที่จะเข้ามาทำงานทดแทน หากทีมใดติดเชื้อและมีอันเป็นไป
๘) บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานเอกชน ต่างประสบปัญหา เพราะรายได้ของบริษัทลดลงอย่างถ้วนหน้า หากลูกจ้างและนายจ้างมีความเข้าใจซึ่งกันและกันว่าเกิดสภาวะที่ยากลำบากด้วยกันทั้งสองฝ่าย หากมีความเห็นอกเห็นใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้างมากขึ้น มีการประนีประนอมที่จะไม่ปลดคนงาน แต่พร้อมใจกันลดค่าใช้จ่าย และเงินเดือนของลูกจ้างเพื่อประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้น
นายจ้างอาจได้โอกาสในการปรับปรุงกิจการเพราะมีเวลาว่างมากขึ้นที่จะคำนึงถึงการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้สมสมัยและการบริหารงานให้ดีขึ้น ทันทีที่สถานการณ์คลี่คลายก็สามารถพัฒนาองค์กรได้อย่างก้าวกระโดด
หากลูกจ้างจะได้พัฒนาทักษะความรู้ในยามที่มีงานน้อย ก็จะเกิดความรู้และความสามารถในการทำงานที่หลากหลายและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
๙) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยาน รักษาความปลอดภัย ตำรวจ และฝ่ายต่างๆ จะได้เรียนรู้การบูรณาการในการทำงาน เพราะมีหน้าที่จะต้องรักษาชีวิตของคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
๑๐) ประชาชนเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเอง เพราะระบบอุปถัมภ์ช่วยขจัดและป้องกันเชื้อโรคไม่ได้ หวังพึ่งนาย หวังพึ่งผู้มีอำนาจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างระบบป้องกันด้วยตัวเอง และเห็นความสำคัญที่จะได้ผู้นำประเทศที่รอบรู้ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากขึ้น
๑๑) รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้เรียนรู้ว่า การด่วนประชาสัมพันธ์เพื่อหาชื่อเสียงอาจได้ผลติดลบ เพราะโรคระบาดมีหลายมิติที่ต้องคำนึง การหาจุดเด่นเพื่อเป็นคะแนนเสียงอาจผิดพลาดและได้ผลในทางลบ
๑๒) กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลจะได้เรียนรู้เสียทีว่าการประกาศสินค้าควบคุม เช่น หน้ากากอนามัย ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวลง เพราะเป็นการส่งสัญญาณให้แตกตื่นผู้บริโภคจะขวนขวายกักตุนสินค้าควบคุมไว้ใช้ ผู้ผลิตและผู้ขายเมื่อเห็นสินค้าของตนขายดีมีความต้องการมากก็ไม่อยากผลิตเพิ่ม เพราะขึ้นราคาก็ไม่ได้ ผิดพลาดอาจถูกลงโทษติดคุกติดตาราง ร้านค้าปลีกจึงประกาศหยุดขาย โรงงานไม่เพิ่มการผลิต สินค้าทั้งหลายไหลสู่ตลาดมืด เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมก็ไม่มีปัญญาที่จะตรวจสอบได้ทั่วถึง
๑๓) วัฒนธรรมการยกมือไหว้แบบที่ไทยและอินเดียใช้ ได้แพร่ขยายไปยังวัฒนธรรมของชาวตะวันตกที่นิยมสัมผัสมือ
โอบ กอด จูบ แก้มชิดติดกัน แม้บุคคลระดับสูง อย่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมาร แห่งสหราชอาณาจักร และประมุขของสหรัฐอเมริกาก็นำไปใช้
แม้อินเดียจะถูกครอบครองโดยสหราชอาณาจักรมาก่อนก็ตาม วัฒนธรรมการไหว้ยังเป็นที่ยอมรับและแพร่หลายในตะวันตกมากขึ้น
๑๔) หัวหน้า คสช. และนายกฯ พลเอกประยุทธ์ ได้เรียนรู้ว่า ไวรัส COVID-19 ไม่กลัวคำสั่ง คสช.และมาตรา ๔๔ แต่ไวรัสจะกลัวความรู้ของการบริหารจัดการที่ต้องรู้ธรรมชาติของไวรัส และบริหารสั่งการกู้วิกฤติด้วยความรอบรู้เด็ดขาดของผู้นำประเทศ
การนำทรัพยากรของกองทัพ ทั้งที่ดิน กำลังพลที่มีวินัย แพทย์เสนารักษ์ และบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล
อาคาร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ เครื่องมือสื่อสาร ทั้งทีวีวิทยุ อีกทั้งยานพาหนะหลากหลายประเภท ทั้งเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถชนิดต่างๆ สามารถเข้าร่วมวางแผนเพื่อรองรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นมีผู้ติดเชื้อจำนวนหลายล้านคนอย่างแน่นอน
๑๕) หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ คนไทยจะได้เรียนรู้ว่า ความแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นสีใด อาชีพใด ความแตกต่างเหลื่อมล้ำ มีสถานะเงินทองมากน้อยเท่าใด ก็เจอสภาพปัญหาเหมือนกัน
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี