ผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ไลฟ์เฟซบุ๊คเหตุการณ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนย่านบางบอน ออกมารวมตัวกดดันให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของสถานพยาบาลแห่งหนึ่งให้นำผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ออกไปจากพื้นที่
ในคลิปดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่ พยายามออกมาอธิบายและชี้แจงแล้ว แต่ชาวบ้านยังคงยืนยันที่จะให้ผู้ป่วยคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ จนกระทั่งมีรถพยาบาลของสำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร ได้นำรถพยาบาลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขับรถเข้ามารับผู้ป่วยรายดังกล่าวออกไป
สอบถาม นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 52 ปี ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์เริ่มขึ้นประมาณช่วง 18.00 น.หลังมีรถพยาบาลของสถานพยาบาลแห่งหนึ่งได้เข้ามาส่งผู้ป่วย และชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ใกล้สถานพยาบาลที่เกิดเหตุ สังเกตเห็นความผิดปกติ คือมีเจ้าหน้าที่สวมชุดป้องกัน PPE ลงมาจากรถพร้อมผู้ป่วย จึงเรียกเพื่อนบ้านและคนในชุมชนรวมแล้วกว่า 100 คน ออกมาสอบถามสถานพยาบาลที่เกิดเหตุ พอทราบว่า ผู้ป่วยรายที่นำมาส่งนี้เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงเกิดความหวาดกลัว เนื่องจากกลัวเชื้อโควิด-19 จะแพร่กระจายให้กับคนในชุมชนจึงได้ช่วยตามกันออกมาเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่า ผู้ป่วยรายนี้ มีอาชีพเป็นนักร้องร้านอาหาร และเริ่มมีอาการป่วยจึงได้เข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และกลับมากักตัวที่ห้องพักได้ 6 วัน จึงทราบผลว่าตัวเองติดเชื้อโควิด-19 จึงได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านพระราม 2 และถูกส่งตัวต่อมายังสถานพยาบาลย่านบางบอน และเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ในช่วงเช้าวันนี้ จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาฉีดพ่นฆ่าเชื้อที่บ้านผู้ป่วย และสถานพยาบาลดังกล่าวด้วย
ข่าวนี้บอกอะไรกับเราบ้าง
ก) บอกเราว่า เมื่อเราปล่อยให้ประชากรของเราจมอยู่กับ “ความไม่รู้” นำมาซึ่ง “ความกลัว” และ“ความไร้มนุษยธรรม”
ข) ที่น่ากลัวกว่าการนำคนไข้ไปกักตัวในโรงพยาบาลดังกล่าว คือ สภาพที่ชาวบ้านมาออกันอยู่จำนวนมากต่างหากล่ะ แต่พวกเขารู้ไหม พวกเขาไม่รู้
ระยะเวลาหลายเดือนที่เกิดการระบาดของโควิด-19รัฐล้มเหลวในการ “ให้ความรู้” แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก!!
คนจำนวนนี้เขาไม่รู้หรือว่า โควิด-19 มันเกิดจากเชื้อไวรัส ที่ไม่มีมือ ไม่มีตีน ไม่มีปีก ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องอยู่ใน “แหล่งกบดาน” ของพวกมัน ในที่นี้คือ ร่างกายมนุษย์ โดยจะอยู่ในระบบทางเดินหายใจเป็นสำคัญ แพร่กระจายผ่านการไอ-จาม เอาละอองสารคัดหลั่งฟุ้งกระจายออกมา ในสารคัดหลั่งพวกนั้นแหละ จะมีไวรัสที่เป็นเชื้อโรคติดมาด้วย แต่ขนาดของละออง จะตกในระยะไม่เกิน 1 เมตรดังนั้น เขาจึงให้เราทุกคนสวมหน้ากาก คนปกติสวมหน้ากากผ้า ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย หมอสวมหน้ากาก N95 จึงไม่ต้องไปแย่งกันใช้หน้ากากอนามัยที่มีจำกัด ให้คนที่จำเป็นต้องใช้ได้ใช้ คนที่ไม่เป็นอะไร มีหน้ากากผ้าสำรองสามสี่ชิ้น ไว้เปลี่ยน และซักใช้ซ้ำ
ถามว่า หากผู้ป่วยรายนี้ ไอจามอยู่ในห้องกักโรค คนในชุมชนจะป่วยตามไปไหม ไม่ เพราะเขาไม่สามารถไอ จาม จนละอองฟุ้งออกมานอกโรงพยาบาลได้ ถ้ารู้จักคิดแค่นี้ ก็ไม่ออกมาจากบ้านมาออกันอยู่หน้าโรงพยาบาลให้มีความเสี่ยงหรอก ในกลุ่มของคนที่มารวมตัวกันนั้น หากใครคนใดคนหนึ่งมีเชื้อไวรัส แล้วไอจามใส่กัน อยู่ใกล้สัมผัสเนื้อตัวกัน น้ำลายฟุ้งกระเด็นในยามตะโกนตะเบ็งเร่งเร้าให้เอาคนไข้ออกไปจากชุมชน ถามว่า ใครคือตัวเชื้อโรค?
ส่วนการติดต่อผ่านการสัมผัสเนื้อตัว ข้าวของเครื่องใช้ ที่อาจมีเชื้อไวรัสอยู่ ถามว่า คนในชุมชนจะไปจับเนื้อต้องตัวและข้าวของของผู้ป่วยรายนี้ได้อย่างไร?
ทั้งหมดทั้งปวงคือ “ความไม่รู้” ที่ทำให้ “กลัว” แล้ว “สติแตก”
ในที่สุด การแก้ปัญหาคือการนำคนไข้ออกไป แต่ไม่ได้ให้ความรู้กับคนในชุมชน หรือนำมาเป็นกรณีตัวอย่างในการให้ความรู้ผ่านสื่อ ก็เท่ากับทิ้งให้คนจมอยู่กับความกลัวโง่ๆ ต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ จะไปเกิดกับอีกกี่ชุมชน
การจัดการ “ความรู้” และ “การสื่อสาร” คือความล้มเหลวเละเทะที่สุดของรัฐบาลนี้
คนเขาเสนอให้เอาโทรทัศน์รัฐสภา ที่บัดนี้หาได้สร้างประโยชน์อะไรไม่ มาใช้แทน “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ”ไปพลางก่อน ก็ไม่ทำ ให้ทำอะไร ให้ใช้เป็นช่องโควิด-19 ของทางการ ซึ่งอันที่จริงใช้ช่อง 11 ที่ขึ้นตรงกับสำนักนายกฯ จะตรงกว่า เพราะโทรทัศน์รัฐสภาอยู่ในอำนาจของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา
รัฐบาลไม่รู้หรือครับ ว่า “ความรู้-ความเข้าใจ” คือ “เครื่องมือที่ดีที่สุด” ในการบรรเทาการแพร่ระบาด ลดภาระทางการแพทย์ งบประมาณ และการต้องจัดหาอุปกรณ์มารับมือกับการระบาดใหญ่
มันเหนื่อยยากนักหรือครับ ที่จะประมวลความรู้พื้นฐานง่ายๆ แล้วเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อเทียบกับความเหนื่อยยากในปัจจุบัน ที่แก้ปัญหากันคน การปล่อยให้ประชาชนเก็บตัวอย่างโง่ๆ อยู่กับบ้าน
อุตส่าห์หามาตรการและบังคับอยู่กลายๆ สารพัด ให้คนเก็บตัวอยู่กับบ้านได้ในระดับหนึ่งแล้ว กลับเกียจคร้านที่จะผลิตชุดความรู้ป้อนเข้าไปในทุกทิศทาง ทั้งไลน์ ทวิตเตอร์เฟซบุ๊ค ยูทูบ โทรทัศน์ วิทยุ และข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เคยคิดจะขอความร่วมมือจากเอกชนที่ได้รับการเยียวยาให้จ่ายเงินล่าช้าจาก กสทช. ได้ โทรทัศน์ที่ได้เงินเยียวยาจาก กสทช. โดยไม่ต้องไปฟ้องร้อง ให้มาร่วมกันเป็นเครื่องมือสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้คนบ้างไหมครับ เกรงใจอะไรพวกมันนักหนา เวลาได้เงินเยียวยา เห็นแทบจะจูบปากกันจ๊วบๆ กสทช. ก็ไม่ต้องถูกฟ้อง คสช. ก็ใช้ม.44 เข้าช่วย เอกชนก็ได้เงินง่ายๆ ได้เลื่อนการจ่าย ถึงเวลาก็รู้จักกตัญญูกับประเทศชาติ มาช่วยแก้ปัญหา “ความไม่รู้” ของผู้คนบ้างสิโว้ย!!
ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรค และ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอ “7 ความแม่นยำทางความคิด : เพื่อก้าวผ่านวิกฤติ COVID-19 อย่างปลอดภัย” เอาไว้ว่า
1.หัวใจของการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเท่านั้น แต่เป็นประชาชนเองนั่นแหละ ที่ต้องให้ความสำคัญในการปกป้องและดูแลชีวิตของตนเองให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ
2.และความปลอดภัยที่ว่านั้น เราจะเข้าถึงมันได้ก็ด้วยการลงมือปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ทางรัฐบาลหรือหน่วยงานด้านสาธารณสุขประกาศออกมาเพื่อขอความร่วมมือ อาทิ การรักษาระยะห่างจากบุคคลอื่น การใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ในยามอยู่ในที่ที่มีประชากรหนาแน่นหรือการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอและอย่างละเมียดละไม เพราะแนวทางเหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญในการรักษาชีวิตของเรา และแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่ (สาธารณสุข)
3.แต่อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดในการจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ (COVID-19) ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีวัคซีนต้านไวรัสออกมา นั่นก็คือ “การสมัครใจกักตัวเอง
อยู่กับบ้าน” ซึ่งทั่วโลกได้ยืนยันตรงกันแล้วว่า เป็นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับการหยุดอัตราการเสียชีวิตการติดเชื้อ รวมไปถึงผลกระทบในด้านสังคม เศรษฐกิจ และจิตใจของประชาชน และประเทศชาติ ดังนั้น คงไม่เกินไปเลยกับคำว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ มันหมายความตามนั้นจริงๆ
4.ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ด้วยการอยู่บ้านนั้น การรักษาความมั่นคงทางจิตใจและอารมณ์ คืองานยากที่เราต้องร่วมกันผ่านมันไปให้ได้เช่นเดียวกัน ความเหงา ความฟุ้งซ่าน และความวิตกกังวล คือศัตรูตัวร้ายของการต้องอยู่เพียงลำพัง กระนั้นการสื่อสารก็มีทางออกให้เราจากอารมณ์ด้านลบเช่นนั้นเสมอ ด้วยกำลังใจ ความหวังดีและความห่วงใยซึ่งกันและกันจากครอบครัว คนรัก และเพื่อนสนิท ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ทันสมัย อาทิ ข้อความทาง LINE ภาพถ่ายบน INSTAGRAM หรือการสนทนาผ่านสายโทรศัพท์ จะเป็นยาชูกำลัง (ใจ) อย่างดี ให้เรามีสติที่แข็งแกร่งในทุกๆ สถานการณ์
5.ส่วนความไม่พอใจอันใด ไม่ว่าจะมาจากอารมณ์ทางการเมือง หรือการบริหารงานที่ไม่ถูกใจ เช่นเดียวกับความพอใจที่มาจากความนิยมทางการเมือง หรือการบริหารงานที่ได้ดั่งใจ ควรต้องวางเอาไว้หน้าเครื่องมือสื่อสาร เพื่อปล่อยให้พื้นที่ของการรวมใจของคนไทยได้เกิดขึ้น เพราะถึงที่สุดแล้ว วิกฤตินี้จะจบลงได้อย่างปลอดภัย คนไทยต้องเป็นหนึ่งเดียวกันในการยินดีปฏิบัติตามแนวทางที่กล่าวมาอย่างพร้อมเพรียง
6.เพราะความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้บนความขัดแย้ง และการวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่สามารถทำให้คนไทยอยู่รอดปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ได้ ที่สำคัญ ไวรัสมีคนเป็นพาหะ และพาหะสามารถเพิ่มจำนวนได้มากเท่าที่จะมากได้ นั่นหมายความว่า ถ้าคนส่วนหนึ่งเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นทางออกไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ประเทศไทยจะไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนจึงต้องวางความรัก-ไม่รัก หรือชอบ-ไม่ชอบรัฐบาลเอาไว้ แล้วหันหน้ามาช่วยกันสร้างทีมประเทศไทย ด้วยการอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อไปด้วยกัน
7. ท้ายที่สุด ก็ต้องจำไว้เสมอว่า เมื่อสงครามสู้กับไวรัสตัวนี้จบลง ความสำเร็จนั้นไม่ได้เป็นของรัฐบาล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ความสำเร็จจะเป็นของ
คนไทยทุกคน ที่ร่วมกันทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ
ผมเชื่อว่า เราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย ด้วยสติและปัญญาบนฐานของความรักและเอื้ออาทรต่อกัน ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
นั่นคือความเห็นของ ศ.ดร.กนก ครับ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หาก “ความรู้ความเข้าใจ” ไม่แม่นยำ!!
อาจารย์กนกลืมย้ำ ความแม่นยำในข้อนี้ครับ
รัฐบาลในฐานะ “ผู้ช่วย” บรรดาบุคลากรทางการแพทย์ ต้องทุ่นแรงให้แก่พวกเขา ด้วยการระดมสื่อ ระดมงบระดมคนของรัฐ มาจัดการกับชุดความรู้ แล้วแพร่ออกไปให้ทั่วถึง ถี่ๆ ซ้ำๆ ราวกับกำลังปล่อยโรคระบาด แต่เป็น“โรคระบาดทางปัญญา”
ชวนทหารมาช่วยด้วย ไอ้ที่เขาบอกว่าตั้งหน่วยไอโอจ่ายตังค์ 300 บาท 500 บาท อันน่าทุเรศทุรังนั้น ถ้ามีจริง เปลี่ยนมาปล่อยข้อมูลความรู้ในการป้องกันตัวเองทางโควิด-19 และความเข้าใจต่อมาตรการทั้งหลายที่ออกมา จะดีกว่า
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเรียนรู้จากหลายเหตุการณ์ครับ
1) เมื่อมีคนตายจากโควิด-19 วัดกลัว สัปเหร่อตกใจ คนในชุมชนไม่อยากให้ทำพิธีศพ วาระเร่งด่วนที่รัฐต้องทำคือ ทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจ ว่าศพนั้นแพร่เชื้อไม่ได้ เพราะถูกฆ่าเชื้อและปิดผนึกมาอย่างดีแล้ว แต่อย่าทะลึ่งไปเปิดโลงเปิดซองพลาสติกกันก็พอ ขอให้ทุกคนได้เข้าใจและเห็นใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตที่อยากทำพิธีตามศาสนาด้วย
2) เมื่อจะประกาศมาตรการอะไร ให้ประเมินผลกระทบให้รอบด้าน แล้วคิดระบบการบรรเทาผลข้างเคียงไว้ให้เสร็จสรรพก่อน อย่าให้เหมือนประกาศปิดร้านรวงห้างร้านเสริมสวย ฯลฯ แล้วคนแห่ไปขึ้นรถกลับบ้าน กลับต่างจังหวัด กลับประเทศเพื่อนบ้าน ในเวลาที่เพิ่งประกาศไม่หยุดสงกรานต์ เพราะกลัวจะมีการ “เคลื่อนย้ายข้ามถิ่น” ของคน ในเวลาที่โรคระบาดอยู่ใน กทม. ไร้เดียงสา สะเพร่า โง่เซ่อบ้าแบบนี้ ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
3) แต่แล้วก็เกิด เมื่อคนไม่เข้าใจเรื่องวิธีการรับเงินเยียวยา 5,000 บาท แห่ไปต่อแถวก้นชนไข่ นมชนหลัง ที่หน้าธนาคารทั้งหลาย ชนิดไม่กลัวตาย ไม่เว้นระยะ ไม่
“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตามที่รัฐบาลรณรงค์ จะโทษรัฐบาลเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ประชาชนที่ไม่อ่านอะไรก็มากโข ได้ข้อมูลเท็จทางไลน์ก็ไม่ไต่สวนทวนความ ออกจากบ้านมาธนาคารกันยกใหญ่ เห็นแล้วหมอคงแทบจะขาดใจ ว่าอะไรวะ กูอุตส่าห์ขอให้อยู่บ้าน แต่เงิน 5 พัน สามเดือนของรัฐบาล ลากคนพวกนี้มาต่อแถวกันเนืองแน่นไปหมด
4) บอกให้แต่ละจังหวัดตั้งด่านคัดกรอง แต่มีมาตรการที่ชัดเจน เข้าใจตรงกันทั้งประเทศไหมครับ ว่าถ้าเจอคนที่เข้าข่าย เช่น มีไข้สูง จะทำอย่างไรต่อไป หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ให้เป็นระบบ แล้วที่ให้กักตัวเองอยู่กับบ้าน 14 วันแต่ยังออกไปซื้อของ ออกไปเจอเพื่อน มีมาตรการอะไรเข้าไปจัดการให้เด็ดขาดไหมครับ ข่าวลือข่าวลวงยังว่อนไปหมดในเวลาที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้จัดการอะไรเพื่อเป็นการ “ปราม” หรือ “เชือดไก่ให้ลิงดู” บ้างไหมครับ
5) ไข่ไก่ขาดตลาด พรรคพลังประชารัฐกลับมีไข่ไก่มาขายที่หน้าพรรค ในเวลาที่รัฐบาลใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ห้ามกักตุนสินค้า ห้ามเอาคนมาชุมนุมกัน นี่ดันมาเปิดตลาด “ไข่ราคาถูก” ให้คนมาซื้อ ได้ใช้กฎหมายจัดการมันไหมครับ?
ถึงจุดหนึ่ง ถ้าพึ่งวินัยและการใฝ่รู้ของคนไทยไม่ได้ ก็ยกระดับการใช้กฎหมาย บังคับให้อยู่บ้านเสียให้สิ้นเรื่อง
จะไปให้ถึงจุดที่คนติดเชื้อคุมไม่ได้ คนเจ็บล้นโรงพยาบาล หมอ และบุคลากรทางการแพทย์ขาดอุปกรณ์ป้องกันตัวเอง จนติดเชื้อ จนตายก่อน ที่จะได้รักษาพยาบาลใครอย่างนั้นหรือครับ?!?!?
ก็อยากจะเชื่อมั่นในรัฐบาล ไม่ได้อยากจะตำหนิติติงอะไร
แต่ดูแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นสิครับ คุณเห็นอะไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี