13 เมษายน วันผู้สูงอายุแห่งชาติ ถือได้ว่าสังคมให้ความสำคัญกับผู้เชี่ยวชาญชีวิต ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนาน
ปีนี้ โรคร้ายระบาดรุนแรง โดยเฉพาะที่มีต่อผู้เชี่ยวชาญชีวิต ด้วยสภาพร่างกายที่ใช้งานหนักมานาน ภูมิต้านทานลดน้อยถอยลง หนำซ้ำบางคนอาจมีโรคประจำตัวอีกด้วย หากผู้สูงอายุติด COVID-19 จำนวน 5 คน อาจเสียชีวิตได้ 1 คน
ด้วยประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้สูงอายุจึงสงบนิ่ง อยู่บ้านเช่นที่เคยอยู่ และเข้าใจดีหากลูกหลานจะไม่มารดน้ำ ดำหัว มาโอบกอด หรือมารับประทานอาหารด้วย
ลูกหลานก็น่าจะเข้าใจที่ไม่ต้องการเป็นพาหะนำโรคร้ายระบาดไปสู่คนที่เคารพรัก จึงแสดงความรักด้วยการโทรศัพท์ทั้งที่ได้ยินเสียงหรือเห็นภาพก็ทำได้ ในยามนี้ผู้เชี่ยวชาญชีวิตก็คงจะซาบซึ้งและพอใจแล้ว
คนในบ้านก็ต้องระมัดระวัง จะเข้าห้องหรือบ้านของผู้สูงอายุ ก็ควรอาบน้ำสระผม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องล้างมือและถอดรองเท้านอกบ้าน
ผู้สูงอายุในอนาคตยิ่งน่าเป็นห่วง
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 13 ล้านคน อีก 10 ปีเศษจะเพิ่มจำนวนเป็น 30% หรือ 20 ล้านคน
เวลานั้น คนอายุ 40-60 ปี ปัจจุบันจะเป็นผู้สูงอายุจำนวนพร้อมๆ กันมากมหาศาล หากเกิดโรคร้ายดังเช่นในปัจจุบันจะยิ่งเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตอีกมาก
ถึงเวลานั้น คนอายุต่ำกว่า 40 ปีในปัจจุบัน จะต้องแบกรับภาระทั้งดูแล พ่อ-แม่ที่สูงอายุและยังต้องดูแลปู่-ย่า ตา-ยาย ที่แก่เฒ่า เป็นไปตามสภาวะที่คนไทยในปัจจุบันอายุยืนมากขึ้น คนกลุ่มนี้ยังต้องเป็นผู้ทำงานจ่ายภาษีเพื่อเป็นสวัสดิการให้กับคนทั้งประเทศ
ขณะที่สัดส่วนของคนวัยทำงานในอนาคตก็จะน้อยลงเด็กเกิดใหม่น้อยลงและมักจะเกิดกับพ่อแม่ที่ไม่พร้อม ส่วนคนพร้อมไม่ท้อง
สังคมสูงวัย คนไทยอายุยืน
คำอวยพร “ขอให้อายุยืน” จึงมีทั้งข้อดีและข้อด้อยในตัวเอง หากสังคมไทยไม่สร้างระบบรองรับ ในอนาคตย่อมมีปัญหาอย่างแน่นอน
เป้าหมายสูงสุด คือ ต้องมุ่งให้ผู้สูงอายุที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิตสามารถพึ่งพาตนเองได้ยาวนานที่สุด
จึงจำเป็นต้องสร้างระบบรองรับ ดังนี้
1. มิติเศรษฐกิจ
1) ต้องสร้างระบบการออม เพื่อให้ทุกคนเมื่อหยุดทำงาน สามารถมีเงินออมเพียงพอไว้เลี้ยงชีพได้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งลูกหลานหรือพึ่งรัฐ
รัฐจะต้องสร้างระบบบังคับออมพร้อมมีมาตรการจูงใจและบังคับ ที่จะให้แต่ละคนได้ออม โดยเฉพาะคนทำงานอาชีพอิสระ
2) ต้องขยายอายุการทำงาน เพราะคนไทยปัจจุบันอายุยืนมากขึ้นถึง 10 ปี ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ทั้งรัฐและนายจ้างที่เป็นเอกชนจะต้องขยายอายุเกษียณงานที่สอดคล้องต่อความจริงประสิทธิภาพและความสมัครใจ
3) สร้างแรงจูงใจให้หนุ่มสาวที่พร้อมจะมีลูกได้มีลูกมากขึ้น โดยลดภาระการเลี้ยงดูทั้งด้านการเงินและเวลา ให้ทั้งสามีภรรยาร่วมกันเลี้ยงดูลูกได้มากขึ้น นับเป็นการลงทุนของสังคมที่คุ้มค่า
ขณะเดียวกันจัดวางระบบป้องกัน พ่อแม่วัยใสที่ยังไม่พร้อมให้หยุดท้อง
4) กระจายแหล่งจ้างงานทั้งอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการออกไปในจังหวัดต่างๆ คนทำงานจะได้มีโอกาสดูแล ลูก และ พ่อ แม่ ไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปทำงานที่ไกลบ้าน
ต้องเน้นการพัฒนาการเกษตรแบบประณีต ด้วยเทคโนโลยีที่สมสมัย ก็จะยิ่งกระจายการทำงานใกล้ชุมชนและครอบครัวมากยิ่งขึ้น
5) บูรณาการระบบสวัสดิการของคนทำงานในระบบ เช่น ประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้สอดคล้องเหมาะสม มีความพอเพียง มั่นคง และยั่งยืน
2. มิติสภาพแวดล้อม
สังคมต้องลงทุนปรับสภาพแวดล้อม ทั้งภายในบ้าน อาคารสาธารณะ วัด ถนนหนทางให้เหมาะสมสำหรับคนทุกวัย และผู้พิการที่จะใช้ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย
เพราะอนาคตอันใกล้จะมีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น การพลัดตก หกล้ม จะทำให้ผู้สูงอายุต้องพึ่งพิงผู้อื่นเร็วขึ้น และเกิดต้นทุนสูงในการรักษาพยาบาลฟื้นฟูมากกว่าการลงทุนปรับสภาพแวดล้อม
3. มิติสุขภาพ
1) ต้องสร้างมาตรการให้คนไทยมีสุขภาพดียาวนานที่สุด ลดช่วงเวลาเจ็บป่วยและภาวะพึ่งพาผู้อื่นให้น้อยลง จึงจำเป็นต้องมีระบบสร้างสุขภาพเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย
2) ในอนาคตโรงพยาบาลจะมีคนไข้หนาแน่น จำเป็นต้องแบ่งเบาภาระโดยมีศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพในระดับอำเภอ สำหรับผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลก่อนกลับไปดูแลตัวเองที่บ้าน หรือในบางกรณีศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพจะช่วยบำบัดผู้ป่วยก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล
3) วางระบบดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ที่จะเน้นการให้ผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านและชุมชน โดยมีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น อสม. มีระบบอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) ที่ผ่านการอบรมอย่างเหมาะสม
4) ส่งเสริมให้ทุกคนมีแนวคิด “ตายดี” ในระยะสุดท้ายของชีวิตด้วยการสร้างความรู้ในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข เพื่อยืดชีวิตเมื่อถึงขั้น “ฟื้นไม่ได้ ตายไม่ลง”
4. มิติสังคม
1) องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น น่าจะเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินงานสร้างระบบรองรับสังคมสูงวัยร่วมกับโรงพยาบาล ชุมชน วัด โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลและชมรมผู้สูงอายุ
2) ควรเปิดศูนย์เรียนรู้ของคน 3 วัย เพื่อให้ผู้สูงอายุและเด็กได้เรียนรู้ร่วมกัน โดยใช้โรงเรียนที่ปัจจุบันมีเด็กน้อยหรือไม่มีนักเรียน เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรมของผู้สูงอายุและนักเรียน
3) พระ น่าจะมีส่วนสำคัญในชุมชน ควรให้มหาเถรสมาคมออกระเบียบใช้เงินบริจาคที่วัดได้รับมาใช้เพื่อกิจการนี้ได้
COVID-19 กับ สังคมสูงวัย
เมื่อโรคระบาด ส่งผลกระทบให้ผู้สูงอายุปัจจุบันต้องมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต และก็มีผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นทุกวัน
ขณะเดียวกัน รัฐออกกฎเกณฑ์ให้คนอยู่บ้านเว้นระยะห่างต่อกัน 2 เมตร แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกันก็ตาม
คำถาม คือ เหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้สูงอายุมีจำนวนลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
การให้คนหนุ่มสาวโดยเฉพาะสามีภรรยาเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน จะทำให้มีการตั้งครรภ์และมีเด็กเกิดใหม่หลังจาก 9 เดือนต่อไปนี้ มากน้อยแค่ไหน?
เพราะหากครอบครัวอยู่บ้านและเว้นระยะห่าง 2 เมตร อย่างเคร่งครัด โอกาสหญิงตั้งครรภ์จะมีน้อยลง
แต่ถ้ามาตรการของรัฐบังคับให้อยู่บ้านได้ผล แต่การเว้นระยะห่างไม่ได้ผล ก็อาจจะมีเด็กเกิดใหม่ในอนาคตมากขึ้น
ปัญหาสังคมสูงวัย คนไทยอายุยืน ที่เราเป็นห่วงว่าจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น
สัดส่วนคนทำงานน้อยลง เด็กเกิดใหม่ที่มีคุณภาพน้อยลง
ปัญหานี้อาจจะลดน้อยถอยลงก็ได้ เพราะหากจำนวนเด็กเกิดใหม่มีมากขึ้นจากครอบครัวที่มีคุณภาพ และอนาคตก็จะมีคนวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น แต่อาจเป็นโชคร้ายของสังคมไทย หากเด็กที่เพิ่มขึ้นเกิดจากพ่อ แม่ ที่ไม่พร้อม
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี