ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานข่าวที่สำคัญแต่ไม่เป็นข่าวเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับทางรอดของตลาดผลไม้ไทยซึ่งรายงานข่าวระบุว่าจีนได้อนุญาตให้ตลาดผลไม้ไทยสามารถส่งเข้าไปในประเทศจีนได้โดยทางรถไฟเพิ่มขึ้นอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งสะดวกกว่า รวดเร็วกว่า ปลอดภัยกว่าและขนส่งได้ปริมาณมากกว่าการขนส่งโดยทางรถยนต์
แต่เมื่ออ่านเนื้อข่าวแล้วก็ยังไม่อาจดีใจได้ปลื้มไปกับข่าวนี้ได้ เพราะว่าโดยเส้นทางดังกล่าวนั้นไม่ใช่เส้นทางที่ประเทศไทยจะเชื่อมทางรถไฟเส้นนั้นได้เลย
ถ้าจะส่งผลไม้โดยทางรถไฟดังกล่าว ก็จะต้องขนส่งโดยทางรถยนต์ก่อนจากจังหวัดนครพนมผ่านแดนประเทศลาว ไปยังสถานีรถไฟด่งดัง ของเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ชายแดนลาว และเส้นทางรถไฟสายนี้ก็จะเข้าสู่มณฑลกวางสี ของประเทศจีน ที่ด่านสิงผิงก่วน ซึ่งมีสถานีรถไฟใหญ่อยู่ที่นั่นด้วย
จากกวางสีนั้นสามารถขนส่งไปได้หลายทิศทาง คือสามารถขนส่งเข้าประเทศจีนโดยตรงที่มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นตลาดผลไม้ใหญ่ของโลก หรือจะส่งออกจากกวางสีไปสู่ตลาดโลกก็ส่งออกได้ถึงสองทาง คือโดยทางอากาศซึ่งมีเครื่องบินขนส่งเชื่อมต่อไปหลายประเทศ รวมทั้งทั่วประเทศจีนด้วย หรือไม่ก็ขนส่งทางเรือที่ท่าเรือฝางเฉิงก่างของมณฑลกวางสี ซึ่งมีท่าเรือพันธมิตรอยู่ทั่วโลกร่วม 300 แห่ง
ดังนั้นแม้จีนจะมีไมตรีอนุญาตให้ผลไม้ไทยสามารถขนส่งโดยทางรถไฟดังกล่าวได้ แต่จะไม่มีทางได้รับความสะดวกเหมือนกับขนส่งโดยทางรถไฟจากประเทศไทยไปโดยตรง เพราะโดยเส้นทางนั้นก็ยังต้องขนส่งโดยทางรถยนต์ก่อน และต้องข้ามแดนประเทศลาวไปยังเวียดนามจึงจะไปยังประเทศจีนได้
ประเทศไทยของเรานั้นมีผลไม้ที่เลื่องชื่อลือชามากที่สุดในโลก มีทั้งรส กลิ่น และสีที่เลอเลิศที่สุดของโลก ถึงแม้จะเอาพันธุ์ไปปลูกในประเทศอื่นก็ไม่มีทางที่จะมีรสชาติเหมือนที่ปลูกในประเทศไทยได้ เพราะรสชาติ กลิ่น สี จะแปรเปลี่ยนไปจนไม่เป็นสับปะรดขลุ่ย
ดังเช่นสมัยหนึ่งประเทศจีนได้นำพันธุ์ส้มบางมด รวมทั้งวิเคราะห์ดินและอากาศและนำไปปลูกที่ประเทศจีนแต่กลิ่น สี รสชาติไม่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเหมือนกันหมดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจีนเคยสอบถามเรื่องนี้กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช ว่าเกิดแต่เหตุอันใด
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ตอบโดยโวหารว่า ถึงจะทำอย่างไรก็ไม่เหมือนกับปลูกในประเทศไทย เพราะประเทศจีนไม่มีพระปฐมเจดีย์ ถึงจะไปสร้างพระปฐมเจดีย์เลียนแบบประเทศไทยก็ไม่ใช่พระปฐมเจดีย์องค์เดิม แล้วทั้งสองฝ่ายก็หัวเราะพร้อมกัน ด้วยความเข้าใจตรงกันว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารของประเทศไทยนั้นก็เป็นแบบเฉพาะที่ไม่อาจลอกเลียนแบบได้เหมือนกันทั้งหมด ไม่เหมือนสินค้าอุตสาหกรรมที่ลอกเลียนได้เหมือนกระทั่งจับไม่ได้มองไม่ออก
อันตลาดผลไม้ไทยนั้นแม้เลื่องชื่อลือชาเป็นที่ต้องการของชาวโลก แต่เพราะขาดการส่งเสริม ขาดการวิจัย ทั้งในเรื่องพืชพันธุ์ ตลอดจนการถนอมและการทำหีบห่อ ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการขนส่งและการรักษาคุณภาพที่จะเสื่อมเสีย เปลี่ยนรส เปลี่ยนสี เปลี่ยนชาติไป เพราะต้องใช้เวลาขนส่งเป็นทางไกลและใช้เวลานาน กว่าจะออกของกว่าจะนำสู่ตลาดได้ก็เกิดการเน่าเสีย
มิหนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมด้วยการใช้สารเคมีอันเป็นพิษและขาดการป้องกันเชื้อราและแมลงต่างๆ จึงทำให้ถูกตั้งข้อรังเกียจ แต่สิ่งเหล่านี้ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังและให้ความสำคัญ ไม่หลงเตลิดเปิดเปิงไปเป็นสาวกของลัทธิอุตสาหกรรมที่ต่างชาติครอบงำแล้ว เมื่อนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย
ด้วยสภาพจำกัดดังกล่าว ประเทศจีนจึงเป็นตลาดใหญ่สุดของผลไม้ไทย โดยมีพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นคู่แข่งในบางประเภท นอกนั้นก็เป็นตลาดเล็กตลาดรองทั้งสิ้น
จากสภาพดังกล่าวจึงทำให้ตลาดผลไม้ไทยขึ้นอยู่กับตลาดในประเทศจีนและจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างใกล้ชิดดังนั้นการกำจัดอุปสรรคหรือการแก้ไขปัญหาในการขนส่งซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ใจความเรื่องหนึ่งของตลาดผลไม้ไทย จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยขนส่งผลไม้ไปยังประเทศจีนโดยทางรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ จากภาคเหนือและภาคอีสานของไทยผ่านลาวเข้าสู่ประเทศจีน แต่เพราะเรื่องอัตราภาษีที่เหลื่อมล้ำต่างกัน ผู้ค้าจำนวนมากจึงต้องการขนส่งเข้าไปยังประเทศจีนผ่านทางเวียดนาม ซึ่งมีข้อตกลงพิเศษเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าพืชผักผลไม้ที่ถ้านำเข้าทางด่านผิงสิงก่วนแล้วก็จะเสียภาษีอัตราเดียวเพียง 4% เท่านั้น ในขณะที่ถ้าขนส่งผ่านทางอื่นก็จะเสียภาษี 7.5%
แต่ถ้าขนส่งจากประเทศไทยซึ่งมีดินแดนไม่ติดกับประเทศจีนก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่เคยมีการเจรจาแก้ไขในเรื่องนี้เลย อันสะท้อนให้เห็นต่อความใส่ใจต่อภาคเกษตรโดยเฉพาะตลาดผลไม้ของไทยว่าเป็นอย่างไร
มีส่วนน้อยที่ขนส่งผ่านทางแม่น้ำโขง แต่ส่งได้เป็นบางฤดูกาล และส่งได้จำนวนน้อย เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมแผนปฏิบัติการลุ่มน้ำโขง จึงมิได้ขุดลอกลุ่มแม่น้ำโขงให้กว้างลึกเหมือนกับประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเขาร่วมมือกันอย่างคึกคักและแสวงหาประโยชน์จากความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่ มีแต่ประเทศไทยที่ถูกครอบงำจากต่างชาติจึงต้องยืนชะแง้มองอยู่ริมฝั่งและต้องกินน้ำใต้ศอกเพื่อนบ้านอยู่ร่ำไป
การเชื่อมต่อเพื่อการขนส่งทั้งคนและของโดยเส้นทางรถไฟไทย-จีน ซึ่งเป็นส่วนของเส้นทางสายไหมที่เชื่อมต่อกับทั่วโลกนั้น แม้ประเทศไทยจะตกลงร่วมมือกันก่อนเพื่อนโดยเฉพาะในบรรดาประเทศอาเซียน แต่ถึงวันนี้ก็ถูกเตะตัดขาเดินหน้าไม่ได้ ต้องหลงป่าอยู่ที่บ้านกลางดงและบ้านปางสีดามาสามปีเต็มแล้ว ในขณะที่ลาวซึ่งทำความตกลงหลังไทยปีเศษ การก่อสร้างจะแล้วเสร็จและเปิดเดินรถได้ในปลายปี 2564 นี้แล้ว ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง แต่จะสร้างเส้นทางตามข้อตกลงรถไฟไทย-จีน ก็คงล่าช้าไม่ทันการณ์แล้ว เพราะอีก 10 ปีก็ไม่แน่ว่าจะสร้างให้สำเร็จได้
ในปี 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการเจรจาสามฝ่าย ไทย จีน ลาว เพื่อร่วมมือกันเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟไทย-จีน อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม จากจังหวัดหนองคายไปยังเวียงจันทน์ ระยะทาง 16 กิโลเมตร ซึ่งระยะทางนี้เป็นช่วงข้ามแม่น้ำโขง 1 กิโลเมตรด้วย ต้องใช้เงินลงทุนราว 30,000 ล้านบาท ได้มีการประชุมเจรจากันที่ปักกิ่งสองครั้งแล้วแต่มิได้มีความคืบหน้าแต่ประการใด
การเชื่อมต่อเส้นทาง 16 กิโลเมตรนี้ ถ้าคิดอ่านทำการด้วยดี ประเทศไทยแทบไม่ต้องลงเงินเลยแม้แต่บาทเดียวก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ เพราะจากสถานีเดียวนี้ประเทศไทยสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศจีนและประเทศอื่นทั่วโลกได้โดยทางรถไฟ
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็จะมายังประเทศไทยได้โดยเส้นทางรถไฟสายนี้
การขนส่งพืชผักผลไม้และสินค้าต่างๆ จากประเทศไทยก็จะไปสู่ประเทศจีนและทั่วโลกได้โดยขนส่งจากสถานีหนองคาย ซึ่งจะมีความสะดวกและรวดเร็ว
ดังนั้นการเร่งสร้างรถไฟไทย-จีน ตรงจุดเชื่อมหนองคายกับเวียงจันทน์ จึงต้องถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศในเส้นทางสายไหมทั่วโลก
จะเป็นรุ่งอรุณอันรุ่งเรืองของการท่องเที่ยวของประเทศไทย
และจะเป็นทางออกอันถาวรของตลาดผลไม้ไทยด้วย แต่อนิจจาสิ่งดีงามและสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยนั้นมักจะมีมารผจญที่ทำให้ทำไม่ได้อยู่เสมอ
ก็ต้องคอยดูอภินิหารลุงตู่กันว่าจะเป็นอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี