สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเปิดเผยข่าวสำคัญโดยนักข่าวทางทหารชื่อดังเกี่ยวกับสนามบินอู่ตะเภาว่าจะมีการก่อสร้างให้รองรับกับการปฏิบัติการของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ของสหรัฐด้วย ข่าวดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทั้งหลายพากันจับจ้องมองถึงข่าวดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
ส่วนประชาชนชาวไทยนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงก็ได้เพราะความรู้สึกนึกคิดไปในทางเดียวกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสันติ ต้องการความเป็นกลางไม่ต้องการเข้าข้างฝ่ายใดในสงคราม จึงเกิดกระแสต่อต้านการใช้สนามบินอู่ตะเภาให้เป็นฐานเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ
และช่วงปะเหมาะเคราะห์โชคประการใดก็ไม่อาจจะรู้ได้ ช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ แต่ไม่ปรากฏว่าคุยกันเรื่องอะไร และเกี่ยวกับเรื่องการใช้สนามบินอู่ตะเภาให้เป็นฐานเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐหรือไม่ จึงก่อให้เกิดความสงสัยมากขึ้น
ความสงสัยแบบนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับใครเลย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง
ประการแรก นับแต่สหรัฐกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะขยายอิทธิพลครอบคลุมทั้งฟากแปซิฟิกและฟากมหาสมุทรอินเดียแล้ว ก็เป็นที่รู้กันดีว่ายุทธศาสตร์นี้คือยุทธศาสตร์เพื่อการต่อต้านกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ที่นำโดยรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ โดยมีประเทศที่มีประชากรค่อนโลกเป็นสมาชิก และการดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ก็มีความชัดเจนว่าจะทำให้ประเทศไทยมีฐานะกลายเป็นศูนย์กลางในการดำเนินยุทธศาสตร์ จึงทำให้ทุกประเทศทั่วโลกต้องให้ความสำคัญและจับตามองประเทศไทยอย่างใกล้ชิด
ประการที่สอง จะต้องทรงจำให้มั่นว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยประกาศยุทธศาสตร์การต่างประเทศไว้ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่จะไม่ค้อมหัวให้ใครข่มเหงบังคับ ซึ่งเป็นการดำเนินและต่อยอดพระบรมราชวิเทโศบายด้านต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งควรจะได้รับความเชื่อถือและมั่นใจว่าจะเป็นไปตามวิเทโศบายนี้ ส่วนยุทธวิธีนั้นก็อาจจะพลิกพลิ้วพลิกแพลงไปได้ตามสถานการณ์
ประการที่สาม ประเทศไทยได้ทำความตกลงจัสแมกกับสหรัฐตั้งแต่ยุคสงครามเย็น เปิดโอกาสให้สหรัฐใช้ดินแดนประเทศไทยได้ถ้าหากเห็นว่าจะมีภยันตราย ซึ่งข้อตกลงนี้ล้าสมัยไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีการยกเลิก ดังนั้นโดยข้อตกลงนี้สหรัฐจึงอาจยกทัพเข้ามาใช้ดินแดนของประเทศไทยได้ แต่โดยนัยแห่งข้อตกลงดังกล่าวจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทยถูกรุกรานจากชาติอื่น ซึ่งไม่เคยมีปรากฏ
ประการที่สี่ สนามบินอู่ตะเภานั้นเคยเป็นสนามบินทางทหาร อยู่ในการควบคุมดูแลของกองทัพเรือ และในอดีตเมื่อครั้งสงครามเวียดนาม สหรัฐก็ได้ทำการสร้างสนามบินอู่ตะเภาเพื่อให้เป็นสนามบินรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ในสงครามเวียดนามและได้นำระเบิดไปทิ้งสังหารผลาญชีวิตชาวเวียดนามนับไม่ถ้วน เป็นตราบาปสำคัญของประเทศไทยที่จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด
ประการที่ห้า ผู้นำของประเทศไทยล้วนทราบกันเป็นอย่างดีว่าพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของโลกที่มีลักษณะเป็น Ocean Link นั้นมีอยู่สองแห่งคือสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย แต่เพราะสหรัฐเป็นประเทศใหญ่ ประชากรมาก จึงเป็นมหาอำนาจ ส่วนไทยเป็นประเทศเล็ก ไม่อาจมีกำลังทหารระดับโลกได้ จึงเป็นพื้นที่ที่มีการช่วงชิง ไม่ต่างกับเมืองเกงจิ๋วในยุคสามก๊กที่ถ้าใครไม่มีสติปัญญาก็จะไม่สามารถรักษาได้แต่บรรพชนไทยมีสติปัญญาความสามารถสูงมาก จึงธำรงรักษาแผ่นดินนี้ให้ตกมาถึงลูกหลานได้
เพราะเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้นั่นเองคสช. โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงไม่ต้องการให้สนามบินอู่ตะเภามีเงื่อนไขที่จะถูกใช้เพื่อการทหารต่อไปอีก จึงมีการกำหนดแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์ ซึ่งเป็นไปตามวิเทโศบายที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้นั่นเอง
ได้มีการปรับรันเวย์ของสนามบินอู่ตะเภาที่สหรัฐเคยสร้างไว้รองรับกับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 คือ มีรันเวย์ยาวถึง 1.2 กิโลเมตร โดยทำให้รันเวย์เหลือเพียง 900 เมตร ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้
ประการที่หก จะต้องเข้าใจว่าเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 นั้นล้าสมัยไปแล้ว และปลดประจำการเป็นส่วนใหญ่แล้ว เครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีระยะไกลที่สหรัฐใช้อยู่ในปัจจุบันคือเครื่องบินB1, B2 ซึ่งต้องใช้รันเวย์เพียง 600 เมตรเท่านั้น แต่ต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อรองรับกับการปฏิบัติการของเครื่องบิน B1, B2 ด้วย ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งแม้จะเป็นสนามบินพาณิชย์ให้เป็นสนามบินทางทหารเพื่อรองรับกับเครื่องบินโจมตีทางยุทธวิธีระยะไกลดังกล่าวและนี่ก็อาจจะเป็นที่มาของข่าวที่ฮือฮากันนั้น
ดังนั้นโดยสภาพทั่วไปจึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะยอมให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานทัพของเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ B1, B2 ซึ่งเครื่องบินชนิดนี้สามารถบินได้ระยะไกล หากมีฐานปฏิบัติการที่อู่ตะเภาก็จะสามารถบินไปโจมตีได้ทั้งอิหร่าน จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ
ซึ่งประเทศเหล่านั้นไม่ใช่ประเทศสิ้นไร้ไม้ตอกหากเป็นประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ และรู้กันเป็นอย่างดีแล้วว่ามีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ความเร็วเหนือเสียง ที่สามารถมาถึงอู่ตะเภาได้ในระยะเวลา2-6 นาที และเมื่อนั้นสนามบินอู่ตะเภาและประเทศไทยก็จะกลายเป็นสมรภูมินิวเคลียร์ซึ่งไม่มีวันที่คนไทยจะยอมได้เด็ดขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี