ชุมชนโค้งรถไฟยมราช ใจกลางกทม. เป็นพื้นที่ที่กลุ่มจิตอาสา มูลนิธิต่างๆ ลงทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
ล่าสุดก็ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดโครงการ “กู้วิกฤติส่งเด็กกลุ่มเปราะบางกลับโรงเรียน” เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเรียนรู้ การป้องกันสุขภาพจากไวรัสโควิด-19 ในช่วงเปิดเทอม และสนับสนุนชุดอุปกรณ์การเรียนให้เด็กกลุ่มเปราะบางในชุมชนพื้นที่กรุงเทพฯที่เสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่แออัด เช่นเดียวกับพื้นที่ใต้ทางด่วนต่างๆ อีกทั้งเด็กหลายคนยังทำงานช่วยพ่อแม่ บนท้องถนน ฯลฯ
ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับที่ปรึกษากองทุน กสศ. เผยว่า ได้ร่วมมือกับ เครือข่ายองค์กรภาคเอกชน ทำการสำรวจข้อมูลเด็กกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา เช่น เด็กยากจนในชุมชนแออัด ริมทางรถไฟ ใต้ทางด่วน เด็กที่ทำงานบนท้องถนน ไซต์คนงานก่อสร้าง แรงงานนอกระบบที่อพยพมาจากต่างจังหวัด ซึ่งกรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีจำนวนเด็กและเยาวชนเปราะบางมากที่สุดของประเทศ เด็กกลุ่มนี้บางส่วนแม้จะยังอยู่ในระบบการศึกษาแต่ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและครอบครัว เป็นตัวเร่งให้หลุดออกนอกระบบ ยิ่งในช่วงไวรัสโควิด-19 หลายครอบครัวได้รับผลกระทบ ไม่มีรายได้ ตกงาน
จากการสำรวจพบเด็กกลุ่มเสี่ยงและเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาในช่วง เปิดเทอม เราพบว่าครัวเรือนฐานะยากจน ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาแต่ละปีสูงสุดช่วงเดือนเปิดเทอม ระดับประถมศึกษา 1,796 บาท มัธยมต้น 3,001 บาทมัธยมศึกษาตอนปลาย 3,738 บาท ในขณะที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 2,020 บาทต่อเดือน ถือว่าเป็นภาระหนักของครอบครัวที่ขัดสน
ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กสศ.โดยโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับ กลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street) ในเขต กทม. ได้ทำการสำรวจเชิงคุณภาพโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อสำรวจความต้องการช่วยเหลือด้านการศึกษาจากผลกระทบโควิด-19 พบว่า เด็กเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตบนท้องถนน หรือที่สาธารณะมีจำนวนน้อยกว่าอดีตมาก ที่พบเด่นชัดได้แก่ พื้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพง มิติของเด็กเร่ร่อนเปลี่ยนไป ไม่เห็นตามถนน ตามตลาด หรือตามที่ต่างๆแต่จะไปอยู่ในชุมชน
และบางส่วนมักรวมตัวในร้านเกมส์ หรือเช่าห้องพักอยู่ร่วมกัน ส่วนสาเหตุที่เด็กออกมาเร่ร่อนจะเป็นเรื่องปัญหาความยากจน ครอบครัวแตกแยก ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เป็นตัวเร่งให้เด็กหลุดออกนอกระบบ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ยังต้องการความช่วยเหลือ เช่น ทุนการศึกษาเพื่อเป็นค่าเดินทางไปโรงเรียนค่าอาหาร ค่าหนังสืออุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน รองเท้าและกระเป๋านักเรียน
“นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมกสศ.ต้องทำงานกับเด็กกลุ่มเปราะบางเราพยายามรักษาเด็กกลุ่มนี้ให้อยู่ในระบบการศึกษาให้มากที่สุด รวมถึงสร้างทักษะส่งเสริมการประกอบอาชีพ สร้างทักษะการใช้ชีวิต เพื่อลดจำนวนเด็กที่ต้องทำอาชีพบนท้องถนนที่มีความเสี่ยงและเป็นอาชีพที่อันตราย เบื้องต้นในพื้นที่กทม.จะสามารถช่วยได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน” ที่ปรึกษา กสศ. กล่าว
ขณะที่ นางสาวทองพูล บัวศรี หรือ ครูจิ๋ว ผู้จัดการโครงการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า ชุมชนโค้งรถไฟยมราชมีเด็กรวมทั้งสิ้น 200 กว่าคนแต่มีเด็กกลุ่มเปราะบาง ที่มีครอบครัว มีที่พัก แต่ด้อยโอกาส ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือมีฐานะยากจน ที่อยู่ในการดูแลของครูจิ๋ว จำนวน 67 คน เด็กกลุ่มนี้จัดเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกนอกระบบการศึกษา ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน อีกทั้งไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน ซื้อเสื้อผ้า บางครอบครัวก็ไม่อยากให้เด็กได้เรียน เพราะอยากให้ทำงานชดเชยช่วงที่ขาดรายได้
“หลังสถานการณ์โควิด ครูต้องพยายามช่วยทุกทาง เพื่อไม่ให้เด็กต้องหลุดออกนอกระบบการศึกษา ต้องสื่อสารกับผู้ปกครองให้เห็นความสำคัญของการศึกษา อุปกรณ์การเรียน อะไรที่ขาดจะช่วยหาให้ เราไม่อยากให้เด็กต้องหยุดเรื่องการศึกษา จึงพยายามสร้างโอกาสให้เด็กได้ทำงานด้วยเรียนด้วย อยากให้ช่วยประคับประคองให้เด็กได้รับโอกาสเท่าๆ กัน อย่างน้อยให้เด็กกลุ่มเปราะบางมีโอกาสได้รับการศึกษาจนจบ ม.3 ตามพื้นฐาน นั่นคือสิ่งที่ครูปรารถนา” ครูจิ๋ว กล่าว
ครับทั้งหมดเป็นเรื่องน้องๆ ซึ่งไปทำกิจกรรมดังกล่าวส่งมาให้ผมช่วยนำเสนอท่านผู้อ่าน ว่าสังคมไทย ยังมีคนต้องการความช่วยเหลืออีกมาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี