ความจริงของประเทศไทยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าประเทศไทยไม่ใช่แหล่งระบาดของโควิด-19 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยที่เริ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดที่สนามมวยสิ้นสุดลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีผู้ป่วยสูงสุดระดับ 3,000 คน และผู้เสียชีวิตระดับ 50 คน
น้อยกว่าอัตราการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนวันเดียว และเทียบกันไม่ได้เลยกับความสูญเสียเสียหายของอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งไม่มีใครให้ความสนใจแม้แต่น้อย
กลับมาสนใจโหมกระหน่ำกระแสตระหนกตกใจกลัวโควิด-19 กันทุกวัน วันละหลายหน ระดมกันทุกสื่อ ระดมคนที่หน้าตาพอจะเชื่อถือได้ออกมาโหมกระแส และในที่สุดก็สร้างความพินาศฉิบหายวายวอดให้แก่ชาติบ้านเมืองจนสุดคณานับ เฉพาะเงินงบประมาณก็สูญเสียหลายแสนล้านบาท ยิ่งภาคธุรกิจแล้วก็ต้องใช้คำว่าฉิบหายวายวอดถ้วนหน้า
แม้ประเทศไทยจะไม่มีการแพร่ระบาดแล้ว แต่ขบวนการทำมาหากินแสวงหาผลประโยชน์โดยอ้างเหตุโรคระบาดก็ไม่ยอมหยุด ยังคงปั่นกระแสการ์ดอย่าตก และกระแสระบาดรอบสอง รอบสาม ซึ่งยิ่งปั่นกระแสเท่าใด ความฉิบหายในบ้านเมืองก็จะมากขึ้นเท่านั้น และจะมีการผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินกันอย่างมันมือยิ่งขึ้นเท่านั้น
นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และมันจะเป็นเรื่องราวตราบาปใหญ่ไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ และผู้ที่ทำร้ายชาติบ้านเมืองเหล่านี้จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรแผ่นดิน
การทำลายชาติบ้านเมืองด้วยการปั่นกระแสโควิด-19 ในที่สุดก็ปรากฏสัญญาณชัดเจนจากผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง สรุปสาระสำคัญคือ
ได้มีการแถลงยอดการส่งออกของประเทศไทยที่ตกต่ำเตี้ยติดดินในรอบระยะเวลา 41 เดือน คืออัตราการส่งออกลดลงถึง 23% ซึ่งหมายความว่ารายได้นำเข้าประเทศขาดหายไป การผลิตทำไม่ได้ โรงงานต้องหยุด ผู้คนไม่มีงานทำ
ได้มีการแถลงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจว่าจะติดลบเพิ่มขึ้นเป็นติดลบ 8% โดยมีข่าวซุบซิบว่าการแถลงตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ 8% นั้นยังเป็นตัวเลขที่ระบุด้วยความเกรงใจกัน เพราะความจริงอาจจะติดลบถึง 10.5% แต่แม้ติดลบ 8% ก็ต้องถือว่าเป็นอัตราการติดลบสูงสุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 นายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นมือเศรษฐกิจหลักของรัฐบาลและเคยแถลงถึงความสำเร็จในทางเศรษฐกิจตลอดมา แม้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ก็ยังยืนยันถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้คนทั้งหลายได้เชื่อถือกัน
หรือแม้ในช่วงวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ก็ยังมีการยืนยันว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่การแพร่ระบาดสิ้นสุดลง ประเทศไทยจะเหินบินดุจมังกร
แต่พอถึงวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้แถลงต่อสื่อมวลชนเป็นข่าวคราวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วประเทศไทยว่าในเดือนกรกฎาคมนี้ โรงงานต่างๆ จะปิดตัวเป็นจำนวนมาก และผู้ใช้แรงงานจะตกงานถึง 2 ล้านคน
ไม่ว่าการแถลงดังกล่าวจะเป็นผลกระทบมาจากการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่แต่โดยสรุปรวมก็คือ ณ บัดนี้ซึ่งเป็นวันเวลาที่ประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว แต่ประเทศไทยกำลังย่างก้าวเข้าสู่ศักราชแห่งวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ
เพราะในอดีตนับแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นแม้ยามเป็นศึกสงครามจะเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงก็เฉพาะบางพื้นที่ แม้ยามที่นักล่าอาณานิคมมาข่มเหงรังแกก็เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ แม้เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 คนไทยก็ยังพอมีพอกินและไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
เมื่อครั้งเกิดวิกฤติราชาเงินทุนปี 2516 และตามมาด้วยวิกฤติด้านการเงิน ปี 2531, 2537 และ 2540 ที่เรียกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็เกิดผลกระทบเฉพาะวงแคบ โดยเฉพาะในแวดวงของสถาบันการเงิน และอย่างมากก็เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
แต่ทว่าโหมดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นศักราชใหม่ของประเทศไทยนั้นหนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก
ประการแรก เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นประดังพร้อมๆกัน ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อเนื่องจากโรคระบาด วิกฤติด้านความมั่นคงและวิกฤติด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะคือวิกฤติจากการขาดความเชื่อมั่น จากการทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร ที่เปรียบประดุจดังเชื้อเพลิงวางกองเต็มอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ รอแต่ไม้ขีดและแรงลมก็จะโหมไหม้เป็นไฟประลัยกัลป์
ประการที่สอง เป็นวิกฤติในยามที่ธนาคารสำคัญของประเทศไทยอ่อนแอมาก มีผลขาดทุนถึง 957,000 ล้านบาท มีสินทรัพย์ระดับ 3,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีหนี้สินระดับ 5,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ อย่าว่าแต่จะไปช่วยเหลือคนอื่นเลย แค่ประคองตัวให้รอดก็หนักหนาเต็มที
ประการที่สาม เป็นวิกฤติในยามที่ประเทศได้ก่อหนี้สร้างสินชนเพดานการก่อหนี้สาธารณะแล้ว และก่อหนี้ขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ของชาติ ในขณะที่มีการใช้จ่ายเงินอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกและฉ้อฉลจำนวนมหาศาลโดยอ้างสถานการณ์โควิด-19 และตรวจสอบใดๆ ไม่ได้
ประการที่สี่ เป็นวิกฤติในยามที่ประเทศมีตราสารหนี้เป็นวงเงินสูงถึง 3 ล้านล้านบาท และถึงกำหนดในปีนี้ถึง 650,000 ล้านบาท ในขณะที่กองทุนใหญ่ได้ปิดไปแล้วถึง 4 กอง วงเงินถึง 200,000 ล้านบาทส่อเค้าจะส่งผลกระทบบานปลาย
ประการที่ห้า ภาคธุรกิจทั่วประเทศปิดกิจการจำนวนมาก ผู้คนตกงานจำนวนมาก
โดยสภาพเช่นนี้การรับมือกับสถานการณ์วิกฤติใหญ่ทางเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่จำเป็นต้องใช้ยอดคนที่มีความปรีชาสามารถจริงมารับมือแก้ไขจึงจะได้
หาไม่แล้วประเทศไทยจะสิ้นชาติทางเศรษฐกิจก็ในคราวนี้!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี