วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วิญญูชนในสังคมไทยตระหนักดีว่าเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมไม่ดีมาตั้งแต่กลางปี 2562 เพราะมีปัญหารุมเร้าหลายประการ เช่น ค่าเงินบาทแข็งการส่งออกลดลง กำลังการซื้อของคนในประเทศไม่มาก แต่แล้วเมื่อประเทศไทย (รวมทั้งทุกประเทศทั่วโลก) ต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ก็ยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
หลายคนไม่ปฏิเสธว่าประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และหลายคนก็พยายามจะทำให้ตนเองรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจให้ได้ขณะเดียวกันหลายคนก็เฝ้ามองว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใดเพื่อพยุงให้เศรษฐกิจของไทยยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แล้วก็เฝ้าจับตามองอีกว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐกำหนดนั้นจะสามารถแก้วิกฤติเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะการกู้เงินจำนวน
1.9 ล้านล้านบาท ที่หลายภาคส่วนกำลังเฝ้าระมัดระวังว่าจะมีการรั่วไหลของเงินกู้จำนวนมหาศาลนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดคำถามหนึ่งขึ้นในสังคมไทยว่า เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ใช้มาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มลง เพราะหากรัฐบาลใช้มาตรการนี้ก็น่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายในประเทศได้มากขึ้น อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความคึกคักได้ในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อลดภาษีมูลค่าเพิ่มก็หมายความว่าราคาสินค้าในท้องตลาดจะมีราคาถูกลง เมื่อราคาสินค้าถูกลง ประชาชนก็น่าจะใช้จ่ายมากขึ้น
หากสังเกตจากประเทศต่างๆ ในยุโรปจะพบว่าในช่วงที่เกิดปัญหาโควิด-19 ระบาดทุกประเทศก็ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจไม่ต่างกัน ดังนั้น รัฐบาลในหลายประเทศในยุโรปจึงนำมาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน แม้บางประเทศในยุโรปจะไม่ได้ประกาศลดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็ใช้มาตรการชะลอการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มออกไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประเทศอิตาลีประกาศลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และเลื่อนการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน ออกไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน และจะพบว่าโรมาเนียจะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่เก็บภาษีชนิดนี้เพื่อช่วยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจ โรงแรม เป็นต้น ในขณะที่ออสเตรียประกาศลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ร้านอาหารและภัตตาคารเพราะเห็นว่าธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพิษของโควิด-19 ส่วนประเทศเยอรมนีก็ประกาศลดภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้วตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน โดยมีกำหนดเวลา 1 ปี ดังปรากฏว่ามีการลดภาษีชนิดนี้ให้กับธุรกิจร้านอาหาร โดยลดลงเหลือร้อยละ 7 จากเดิมร้อยละ 19 และกำลังพิจารณาว่าอาจจะต้องลงเหลือร้อยละ 5 หากจำเป็น
แน่นอนว่า การลดภาษีมูลค่าเพิ่มจะช่วยให้ราคาสินค้าในท้องตลาดลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อราคาสินค้าถูกลง การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนก็จะมากขึ้น หลายประเทศใช้มาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
ในประเทศ และเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถดำเนินต่อไปได้ในยามที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ
แม้การลดภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้รายได้ของรัฐลดลง แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นในยามที่กำลังซื้อของประชาชนต่ำลง ยิ่งคนมีรายได้น้อยมีกำลังซื้อน้อย ก็จำเป็นต้องทำให้ราคาสินค้าถูกลง เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อหาสินค้าได้เมื่อราคาสินค้าลดลง คนมีกำลังซื้อน้อยก็จะสามารถซื้อสินค้าได้ ส่วนคนที่ยังมีกำลังซื้อสูงก็น่าจะซื้อสินค้ามากขึ้น เพราะเห็นว่าราคาสินค้าถูกลง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น
ดังนั้นจึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เพราะ
เป้าหมายสำคัญของประเทศในยามนี้คือต้องทำให้เศรษฐกิจยังดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะการกระตุ้นกำลังซื้อของคนในประเทศ เพราะในยามนี้รายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งสินค้าออกยังไม่กลับมา

ดราม่าระดับชาติ! ดาราฟิลิปปินส์ถ่ายพรีเวดดิ้งบนตู้กดน้ำในญี่ปุ่น โดนวิจารณ์แรงจนต้องลบรูป
นายกฯ นำคณะบินเหนือ ตรวจราชการเชียงใหม่ ลั่นเน้นงานราชการ การเมืองไว้ก่อน
'ดร.จักษ์' เปรียบฝ่ายอนุรักษ์ 'ตลาดนัดนักการเมือง' ชี้แพ้เพราะชอบฆ่ากันเอง
'มดดำ'เปิดแชทเพื่อนสนิท หลังเจอโยง 'น.' ชวนลงทุนเสียหาย 400 ล้าน!
โปรดเกล้าฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 'จุฑาทิพย์ วิลาด' ชี้มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี