ในห้วงเวลาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2563 เป็นห้วงเวลาสำคัญและล่อแหลมที่ถ้าหากมีการชิงไหวชิงพริบถูกจังหวะจะโคนแล้วก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองขึ้นในประเทศไทยได้
แต่ทว่าในท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเผชิญวิกฤติหลายสถานประดังเข้ามานั้น โดยผลก็คือทำให้รัฐบาลสั่นไหวกระเพื่อมไม่มากก็น้อย
ถ้าหากฝ่ายค้านทันเกมและอ่านสถานการณ์ได้แจ่มแจ้งก็จะก่อความยุ่งยากและก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวงต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นโชคดีของรัฐบาลที่ฝ่ายค้านปล่อยให้โอกาสอันยอดเยี่ยมแห่งปีผ่านพ้นไปอย่างไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
สถานการณ์วิกฤติอะไรบ้างที่เผชิญหน้ารัฐบาลในห้วงเวลาดังกล่าวสรุปได้ดังนี้
ประการแรก ความขัดแย้งและแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐที่มีการขับเคี่ยวแย่งยึดอำนาจพรรคกันอย่างรุนแรง จนก่อให้เกิดความจำเป็นที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องเปิดตัวออกมาห้ามทัพจัดการปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคจนเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเรียบร้อย
ประการที่สอง ความขัดแย้งระหว่างพรรคแกนของรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งบางพรรคก็มีความขัดแย้งภายในพรรคด้วยกันเอง แต่โดยรวมก็คือรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลทุกคนหมดอำนาจบริหารราชการปกติ เพราะอำนาจเหล่านั้นต้องไปรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรีตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ยิ่งนานไปเท่าใดความขัดข้องขุ่นเคืองใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น รอวันเวลาที่ระเบิดขึ้นเท่านั้น
ประการที่สาม ความไม่ลงตัวเกี่ยวกับตำแหน่งทางการเมืองที่ในระยะเริ่มแรกผิดฝาผิดตัวผิดที่ผิดทาง และทำให้เกิดเหตุการณ์เตะตัดขากันเนือง ๆ ต่างคนต่างก็ต้องการได้ตำแหน่งที่ต้องการมาครอง จึงก่อศึกการเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นกันไม่เว้นแต่ละวัน
ประการที่สี่ วิกฤติโรคระบาดจากโควิด-19ซึ่งแม้ไม่มีการระบาดเป็นเวลานานแล้วแต่ก็มีขบวนการปั่นกระแสสร้างความตื่นตระหนกตกใจเพื่อทำมาหากินกับอำนาจและงบประมาณแผ่นดิน จนเกิดความขัดแย้งทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และที่สำคัญได้ทำให้ระบบการบริหารราชการแผ่นดินวิปริตผันแปรไปหมดสิ้น ทุกแห่งหนมีคนคิดแต่จะคดจะโกงฉ้อฉล จนกระทั่งไม่สนใจกฎหมายและชะตากรรมที่จะต้องติดคุกติดตะรางแม้แต่น้อย
ประการที่ห้า วิกฤติทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ที่ประดังอย่างพร้อมเพรียงกัน กิจการทั้งหลายต้องปิดตัวเองลงอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และทุกกิจการผู้คนตกงานนับไม่ถ้วน คนอดอยากยากจนและเกิดความเครียดฆ่าตัวตายไม่เว้นแต่ละวันและนับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะไม่มีมาตรการใดที่จะคืนความเป็นปกติให้กับบ้านเมืองที่จะทำให้ภาคธุรกิจและคนทำงานสามารถกลับเข้าทำงานได้ดังเดิม ในขณะที่เงินช่วยเหลือก็ร่อยหรอจนก่อหนี้กันไม่ไหวแล้ว
ประการที่หก ความขัดแย้งทางการเมืองกับฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งหยั่งรากลึกลงในหมู่นิสิตนักศึกษาและคนหนุ่มสาวได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง โดยมีต่างชาติหนุนหลังบ้าง ไม่มีบ้าง ดังเช่นเหตุการณ์แฟลชม็อบที่หวุดหวิดจะเกิดการชุมนุมใหญ่ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนให้เห็นมาแล้ว และกำลังรอจังหวะจะโคนอยู่
ประการที่เจ็ด ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมที่ขยายตัวลุกลามทำให้เกิดปัญหาและความแตกแยกระหว่างข้าราชการกับประชาชน ระหว่างข้าราชการสัญญาบัตรกับข้าราชการต่ำกว่าสัญญาบัตรที่ถึงขนาดคลุ้มคลั่งก่อเหตุสังหารผู้บังคับบัญชาให้เห็นมาหลายรายแล้ว
ทั้งเจ็ดประการนี้ประดังเข้ามาในห้วงเวลาเดียวกัน ย่อมทำให้เกิดอาการพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล และก่อให้เกิดการต่อรองทางการเมืองกันอย่างขนานใหญ่ ซึ่งจะโหมประดังเข้ามาในช่วงปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าฝ่ายค้านสามัคคีกันยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคลก็จะเป็นการตอกย้ำความขัดแย้งให้เกิดขึ้นและจะทำให้กลุ่มก๊กก๊วนต่างๆ เพิ่มแรงต่อรองมากขึ้น ในขณะที่เมื่อมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจแล้วรัฐบาลก็ไม่สามารถยุบสภาได้ เท่ากับนายกรัฐมนตรีต้องถูกขึงพืดไว้ในรัฐสภา
หากการต่อรองไม่สัมฤทธิผลรัฐบาลอาจจะพ่ายแพ้ญัตติไม่ไว้วางใจ และต้องตั้งรัฐบาลใหม่
โอกาสทองนั้นผ่านไปแล้ว เป็นโชคดีของรัฐบาลที่ฝ่ายค้านปล่อยให้เวลาล่วงเลยจากห้วงเวลาพิจารณากฎหมายงบประมาณ เพราะเมื่อกฎหมายงบประมาณผ่านวาระที่หนึ่งแล้วรัฐบาลก็สามารถหยั่งเสียงและควบคุมคะแนนเสียงในสภาได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
ทั้งเบาแรงไม่ต้องรับศึกหลายหน้า และทำให้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่จะยื่นในปีนี้อาจจะเป็นกระสุนด้านแบบครั้งก่อนก็ได้
และเมื่อรัฐบาลสามารถหยั่งคะแนนเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำแล้ว ก็จะส่งผลให้การปรับคณะรัฐมนตรีทำการได้สะดวกและดีขึ้นกว่าเก่า เพราะอำนาจจะมารวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด จะทำให้การบริหารของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา คล้ายกับการบริหารในยุคของพลเอกเปรมติณสูลานนท์
แต่ทว่าการใหญ่ของแผ่นดินนั้นหาได้ขึ้นอยู่กับการบริหารอำนาจเพียงอย่างเดียวไม่ เมื่อใดที่ประชาชนอดอยากยากจนและหิวโหย เมื่อนั้นต่อให้อำนาจรวมศูนย์ประการใดก็จะไม่มีทางรับมือได้ การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้จึงชี้ขาดปมสำคัญตรงนี้ที่จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี