ถึงเวลานี้คงต้องบอกว่า “จะมีสักกี่คนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19” เพราะหากไม่กลายเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโดยตรงวิกฤติครั้งนี้ก็ทำให้ธุรกิจและอาชีพต่างๆ สะเทือนไปตามๆ กัน ถึงขั้นที่หน่วยงานวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจหลายสำนักเห็นตรงกันว่านี่คือ “วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี” หลายประเทศต้องยอมทุ่มหมดหน้าตักเท่าไรเท่ากันลดการตกงานของประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะการว่างงานย่อมนำมาซึ่งปัญหาสังคมอีกหลายประการ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมง ณ รร.ใบหยกสกาย กรุงเทพฯ ซึ่งสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ยกตัวอย่าง อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะติดลบร้อยละ 7.7 ธนาคารโลก (World Bank) ให้ติดลบร้อยละ 5 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ติดลบร้อยละ 8.1 เป็นต้น ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจไทยนั้นพึ่งพาปัจจัยภายนอกมาก เช่น การส่งออก ร้อยละ 55 และการท่องเที่ยว ร้อยละ 12
นอกจากนี้ “เศรษฐกิจไทยร้อยละ 43 และแรงงานไทย 12 ล้านคน อยู่ในสถานประกอบการที่เป็นธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SME)” อนึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีกำลังแรงงานประมาณ 38 ล้านคนและมีผู้ว่างงานประมาณ 3 แสนคน ซึ่งถือว่าน้อยมากและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งนี้ “หนึ่งในมาตรการที่ สอท. เสนอเพื่อบรรเทาผลกระทบคือ การอนุญาตให้มีการจ้างงานเป็นรายชั่วโมง” โดยค่าจ้างเฉลี่ย 40-41 บาท/ชม. ทำงานเฉลี่ย 4-8 ชม. ต่อวัน
ขณะที่ในมุมของลูกจ้าง มานิตย์ พรหมการีย์กุลประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในต่างประเทศใช้ระบบค่าจ้างรายชั่วโมงกันอยู่แล้ว ขณะที่ประเทศไทยยังใช้กันเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาที่ทำงานแบบอาชีพเสริม (Part-Time)แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เช่น ค่ากิน-อยู่ประจำวัน ค่าหอพักซึ่งตนเห็นด้วยในส่วนของการจ้างงานนักศึกษาลักษณะนี้รวมถึงผู้สูงอายุที่หลายคนยังสุขภาพแข็งแรงพอออกจากบ้านมาทำงานได้และยังต้องการทำงานเพราะจะได้มีเพื่อนมีสังคม แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำระบบนี้มาใช้เต็มที่ในภาคอุตสาหกรรม
“การบังคับใช้กฎหมายไม่มีความจริงจัง และใช้ช่องว่างของกฎหมายเอารัดเอาเปรียบลูกจ้าง แล้วไม่มีความเข้มข้นของกฎหมายเหมือนในต่างประเทศเพราะฉะนั้นถ้าชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย มีเงื่อนไขที่จะคุ้มครองสิทธิ์ของแรงงาน และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตนเองจึงเห็นด้วยที่จะจ้างงานรายชั่วโมง”ปธ.สภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทยระบุ
เช่นเดียวกับนักวิชาการที่ติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานมาอย่างยาวนาน ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวเสริมว่า กฎหมายแรงงานของไทยที่มีอยู่ยังไม่คุ้มครองการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน ดังนั้นหากจะส่งเสริมเรื่องดังกล่าวก็จะต้องมีกฎหมายคุ้มครองเสียก่อน
อีกด้านหนึ่ง อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบายข้อจำกัดของข้อกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ว่า กฎหมายเหล่านี้มุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิลูกจ้างประเภทรายวันและรายเดือนเป็นหลัก และถึงแม้ว่าในกฎหมายจะมีการพูดถึงการคำนวณค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง แต่ค่าจ้างก็ยังผูกพันกับวันทำงาน รวมถึงวันหยุดหรือวันลา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดตัวแปรขึ้นคือ “การทำงานที่บ้าน (Work from Home)” นายจ้างเริ่มทบทวนวิธีการจ้างงานและความจำเป็นในการมาทำงานที่สถานประกอบการ ซึ่งในปัจจุบันนอกจากการจ้างงานแบบรายเดือนและรายวัน ยังมีการจ่ายค่าจ้างตามผลงานหรือชิ้นงานอีกด้วย เพียงแต่กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดให้จ่ายเป็นรายวันตามพื้นที่ที่กำหนด อีกทั้งยังเขียนไว้ในประกาศคณะกรรมการค่าจ้างว่า ในกรณีที่นายจ้างให้ทำงานน้อยกว่าเวลาทำงานปกติในแต่ละวันจะต้องจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายวัน
ดังนั้นสิ่งต้องมาเริ่มคิดเรื่องของการวางระบบค่าจ้างคือ ระบบการจ้างงานจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่หรือนำเทคโนโลยีมาใช้แทน นอกจากนี้ ประเทศไทยได้เข้าสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยยังสามารถทำงานได้ แต่สวนทางกับอัตราการเกิดที่ไม่ถึงร้อยละ 1 แต่ขณะที่สถานประกอบการยังต้องการใช้แรงงาน จึงเป็นที่มาของการประกาศเมื่อปี 2560 ในเรื่องของการจ้างผู้สูงอายุที่ให้จ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 45 บาท และในปี 2556 ได้ประกาศเรื่องจ้างนิสิต-นักศึกษา ชั่วโมงละ 40 บาท
“ที่ผ่านมาการกำหนดนโยบายการจ่ายค่าจ้างนอกเหนือจากรายวัน ยังมีรายชั่วโมงที่กำหนดมาตั้งแต่ปี 2556 ของนิสิต นักศึกษา และปี 2560 ของผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องทบทวนในเรื่องของระบบการจ้างงานแบบรายวันว่าดีต่ออนาคตหรือไม่ หรือจะเปิดทางเลือกให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกรูปแบบของการจ้างตามความเหมาะสม และต้องดูถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระบบของการจ้างงาน” อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี