ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีนักกฎหมายมีบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างยิ่งใหญ่ยาวนาน กระทั่งถึงขั้นที่ทุกการงานของบ้านเมืองนี้อะไรจะทำได้ อะไรจะทำไม่ได้ก็ต้องถามนักกฎหมายก่อน ต่อให้มีอำนาจสักปานใดถ้าถามแล้วนักกฎหมายว่าทำไม่ได้ก็เป็นอันไม่ต้องทำ
และที่สำคัญ นักกฎหมายเมืองไทยนั้นรู้จักงานจัดตั้ง วางเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และวางผู้คนลงไว้ในข่ายงานอย่างแน่นหนาถาวร ดังนั้นเบื้องหลังอำนาจของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจึงมีนักกฎหมายยืนอยู่ข้างหลัง กระทั่งกำลังกระจายขยายเครือข่ายไปยังหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก
และที่สำคัญ มีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องในสัญญาต่างๆ ของรัฐไม่ว่าสัญญาที่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ หรือข้อตกลงใดๆ ระหว่างประเทศ รวมทั้งสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนด้วย ทั้งยังมีบทบาทในการถือและใช้ ตลอดจนการตีความมติคณะรัฐมนตรีต่างๆ แม้กระทั่งการตีความกฎหมายก็อาจจะลัดตัดอำนาจศาลได้โดยง่าย โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตีความในเชิงบริหาร
ถึงขนาดสร้างเสถียรภาพให้กับกลไกต่างๆให้มีอำนาจอย่างถาวร ดังเช่น การแก้ไขกฎหมายให้คณะกรรมการบางคณะสามารถดำรงตำแหน่งได้ตลอดชีวิต หรือแม้กระทั่งไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน
เพราะเหตุนี้การแผ่นดินทั้งปวงที่แม้เบื้องหน้าจะเป็นผู้มีอำนาจ ไม่ว่ามีอำนาจมาโดยวิธีใด แต่เบื้องหลังที่แท้จริงก็คือนักกฎหมาย
และนักกฎหมายก็สามารถวางโครงข่ายในการสร้างระบบกฎหมายขึ้นในประเทศ ทำให้บัญญัติวิธีและปรัชญาทางกฎหมายของประเทศไม่เป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐอันใช้อยู่ในโลกแต่กำลังเป็นระบบที่สับสนอลหม่าน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้และผู้ตีความ ถึงขนาดที่ทุกเรื่องทุกราวก็ต้องมีปัญหาตีความกฎหมายอันอุตลุด
และทำให้อาชีพการตีความกฎหมายทั้งในระดับบริหาร ระดับก่อนตุลาการ มีบทบาทต่อการทั้งปวงของบ้านเมืองมากขึ้น
เพราะเหตุนี้ความยุติธรรม ความเป็นธรรมรัฐนิติรัฐในบ้านเมืองจึงวิปริตผันแปรไป บรรดาคนไม่ดีคนทุจริต คนฉ้อฉล คนบิดเบือนการใช้อำนาจ สามารถเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมืองในทุกระดับ จนกระทั่งบ้านเมืองเต็มไปด้วยคนเหล่านี้
สภาพแผ่นดินที่ไร้ธรรมอำไพ ไม่เป็นที่สงสัยในหัวใจประชาชนอีกแล้ว ดังนั้นจึงก่อเกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่นี้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กระทั่งเกิดความเสี่ยงภัยเพราะอาจก่อเกิดเป็นเงื่อนไขของ “การปฏิวัติประชาชาติ” หรือ “สงครามปลดแอก” ซึ่งเรื่องเหล่านี้กำลังปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น
สภาพที่การปกครองบ้านเมืองวิปริตผันแปรไม่ตั้งอยู่ในขนบธรรมเนียมนั้นคือสภาพที่มีการพรรณนาในวรรคแรกของสถานการณ์ในเมืองจีนก่อนที่จะเกิดเป็นสามก๊ก และต้องรบราฆ่าฟันกันนับร้อยปีให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว
ทั้งๆ ที่มีนักกฎหมายมากมายองค์กร มากมายหลายระดับ จนเรียกว่าแทบทุกจุดของกลไกรัฐเต็มไปด้วยนักกฎหมาย กระบวนการทางกฎหมาย และกฎหมายสารพัดเต็มมือ สภาพเช่นนี้จึงไม่น่าจะมีความผิดพลาดในทางกฎหมายเกิดขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดินเลย
แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามและสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้คนทั้งประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นคือเรื่องค่าโง่ที่สัญญาสารพัดเกิดความเสียหายแก่รัฐ และรัฐยังต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้กระทำความเสียหายนั้นด้วย จึงถูกเรียกว่าค่าโง่และต้องจ่ายค่าโง่เสียค่าโง่กันจำนวนมากในแต่ละปี
ค่าโง่และพฤติกรรมของการจ่ายค่าโง่ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นแกล้งโง่ ทำให้รัฐต้องจ่ายหรือชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณี หรือแกล้งโง่ทำให้ตกเป็นผู้ผิดสัญญาหรือเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยที่หาคนผิดไม่ได้ ทำให้คนโกงชาติยืดหน้าชูคอลอยนวลอยู่ในอำนาจบ้านเมือง
เรื่องการก่อสร้างรถไฟโฮปเวลล์ซึ่งผ่านมาเกือบ 30 ปี เป็นสัญญาที่ก่อตั้งขึ้นโดยที่ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการจัดซื้อจัดจ้างหรือการดำเนินโครงการโดยชอบของรัฐแต่ก็เกิดขึ้น และเนื่องจากโครงการนี้รัฐไม่ต้องจ่ายเงิน เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องหาประโยชน์จากการประกอบการเอาเอง
ดังนั้นเมื่อผู้ประกอบการเลิกการลงทุนทิ้งงานไปเรื่องก็ควรจะจบลง หรืออย่างมากรัฐก็ควรจะเรียกค่าเสียหายตามมากตามน้อย แต่ก็มิได้กระทำการใดๆ จนเวลาผ่านไปช้านานและในที่สุดก็มีมือดีไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทผู้ลงทุนนั้น คล้ายๆ กับว่าเทคโอเวอร์ผู้ประกอบการนั้นมาด้วยราคาค่าเงินไม่มากนัก
และแล้วก็มีการเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการนี้จากรัฐและในที่สุดรัฐก็ต้องพ่ายแพ้ แต่ทำไมจึงพ่ายแพ้ กลับไม่มีการสืบสวนสอบสวนหาความจริง จนในที่สุดอาจก่อให้เกิดความรับผิดแก่รัฐถึง 25,000 ล้านบาท
อาจเป็นความเสียหายจำนวนมหาศาล ที่ประเทศชาติและประชาชนต้องแบกรับ ในขณะที่คนบางกลุ่มบางพวกจะร่ำรวยจากเงินแผ่นดิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะรวยกันไปกี่ชาติก็ไม่รู้ จะต้องติดตามดูว่าเงินแผ่นดินในลักษณะนี้ จะแปรสภาพเป็นไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญคนทำผิดคิดชั่วได้อย่างไร
รัฐจำเป็นที่จะต้องทบทวนระงับการจ่ายเงินและตรวจสอบต้นสายปลายเหตุใหม่อีกสักครั้ง เพราะถ้ากรณีเกิดขึ้นจากการทุจริตฉ้อฉลแล้วและดำเนินการโดยวิถีทางที่ถูกต้องก็อาจมีโอกาสไม่ต้องเสียค่าโง่ก็ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี